## เจาะลึก BDMS: ผลประกอบการแน่น ปันผลเด่น ท่ามกลางกระแสธุรกิจสุขภาพที่กำลังบูม
ในโลกของการลงทุน ตลาดหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลถือเป็นดาวเด่นที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ด้วยลักษณะธุรกิจที่มีความจำเป็นและมีแนวโน้มเติบโตไปพร้อมกับสังคมสูงวัยและการใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ในบรรดาผู้เล่นชั้นนำในอุตสาหกรรมนี้ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ยืนหยัดในฐานะเครือข่ายโรงพยาบาลขนาดใหญ่และครบวงจร บทความนี้จะพาไปสำรวจภาพรวมผลประกอบการของ BDMS ในปี 2566 นโยบายการจ่ายเงินปันผลที่น่าจับตา และแนวโน้มธุรกิจในอนาคตที่น่าจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ
สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับตลาดหุ้นไทย ชื่อของ BDMS คงเป็นที่รู้จักดี แต่หากจะกล่าวถึงภาพรวม BDMS คือยักษ์ใหญ่ในธุรกิจบริการทางการแพทย์ของไทย ด้วยเครือข่ายโรงพยาบาลที่กระจายตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ การดำเนินงานในปี 2566 ของ BDMS ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพในการเติบโตที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
**ผลประกอบการปี 2566: ตัวเลขที่สะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่ง**
ปี 2566 ถือเป็นปีที่ BDMS สามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยมีตัวเลขทางการเงินที่น่าพอใจ สะท้อนถึงการฟื้นตัวและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ BDMS พุ่งสูงถึง 24,740 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 2565 ขณะที่กำไรสุทธิก็ไม่น้อยหน้า ด้วยตัวเลข 14,375 ล้านบาท หรือเติบโตถึง 14% จากปีก่อนหน้า

รายได้จากการดำเนินงานรวมในปี 2566 อยู่ที่ 102,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2565 โดยแหล่งรายได้หลักยังคงมาจากค่ารักษาพยาบาล ซึ่งมีมูลค่าถึง 97,077 ล้านบาท และมีการเติบโตถึง 10% เช่นกัน การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนสำคัญมาจากการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (COE) ซึ่งรายได้จากส่วนนี้เติบโตถึง 11% นอกจากนี้ ผู้ป่วยชาวต่างชาติก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยรายได้จากกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นถึง 23% โดยเฉพาะจากประเทศตะวันออกกลางอย่างการ์ตา (เพิ่มขึ้นราว 85%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เพิ่มขึ้นราว 43%) และจีน (เพิ่มขึ้นราว 45%) ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและชื่อเสียงด้านการแพทย์ของไทย ในส่วนของผู้ป่วยชาวไทย แม้จะเติบโต 6% ในภาพรวม แต่หากไม่นับรวมรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 รายได้จากผู้ป่วยไทยจะเติบโตถึง 22% แสดงให้เห็นถึงฐานผู้ป่วยในประเทศที่แข็งแกร่งและมีการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น สัดส่วนรายได้ระหว่างผู้ป่วยไทยต่อต่างชาติในปี 2566 อยู่ที่ 73% ต่อ 27% ซึ่งผู้ป่วยต่างชาติมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ 76% ต่อ 24%
เมื่อพิจารณาตามเครือข่ายโรงพยาบาล โรงพยาบาลในเครือกรุงเทพฯ มีรายได้เติบโต 8% ในขณะที่โรงพยาบาลเครือข่ายนอกกรุงเทพฯ สามารถทำผลงานได้ดียิ่งกว่าด้วยการเติบโต 12% ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของโรงพยาบาลในต่างจังหวัดในการรองรับผู้ป่วย รวมถึงการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและโรคระบาดตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดหนึ่งที่ปรับลดลงคืออัตราการครองเตียง ซึ่งอยู่ที่ 69% ในปี 2566 ลดลงจาก 73% ในปี 2565 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของผู้ป่วยโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ

ในด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมทั้งค่าเสื่อมราคา เพิ่มขึ้น 10% แตะระดับ 83,218 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นนี้เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจ โดยส่วนใหญ่มาจากค่าตอบแทนแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการตลาด สาธารณูปโภค และค่าบริหารจัดการต่างๆ
หากเจาะลึกเฉพาะผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 BDMS ยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 26,726 ล้านบาท เติบโต 12% จากไตรมาสเดียวกันของปี 2565 รายได้จากค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น 12% โดยเฉพาะจากผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เติบโตถึง 18% และผู้ป่วยชาวไทยเติบโต 10% EBITDA ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 6,649 ล้านบาท หรือเติบโต 18% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 3,952 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 27% จากไตรมาส 4/2565 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปี ควบคู่กับการบริหารจัดการการเงินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
**เปรียบเทียบกับคู่แข่ง: BH ในมุมมองที่แตกต่าง**
เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมของอุตสาหกรรมและตำแหน่งของ BDMS ให้ดียิ่งขึ้น การเปรียบเทียบกับคู่แข่งคนสำคัญอย่าง บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ก็เป็นสิ่งจำเป็น BH เองก็มีผลประกอบการที่โดดเด่นในปี 2566 โดยมีกำไรสุทธิ 7,006 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 41.9% และรายได้รวม 25,575 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% จากปีก่อน สิ่งที่น่าสนใจคือ โครงสร้างรายได้ของผู้ป่วยของ BH ที่แตกต่างอย่างชัดเจนจาก BDMS โดยผู้ป่วยชาวต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 66.8% ขณะที่ผู้ป่วยชาวไทยอยู่ที่ 33.2% ในปี 2566 (เทียบกับ 63.5% ต่างชาติ และ 36.5% ไทย ในปี 2565) ซึ่งแตกต่างจาก BDMS ที่มีฐานผู้ป่วยไทยแข็งแกร่งกว่ามาก
ในไตรมาส 4/2566 กำไรสุทธิของ BH อยู่ที่ 1,721 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.3% จากปีก่อน และรายได้รวม 6,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% โดยรายได้หลักมาจากกิจการโรงพยาบาล ซึ่งผู้ป่วยต่างชาติเติบโต 11.9% และผู้ป่วยไทยเติบโต 2.9% สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 68.0% เทียบกับ 66.2% ในปีก่อนหน้า การเปรียบเทียบนี้ชี้ให้เห็นว่า BH พึ่งพารายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในสัดส่วนที่สูงกว่ามาก ในขณะที่ BDMS มีความสมดุลระหว่างผู้ป่วยไทยและต่างชาติมากกว่า รวมถึงมีขนาดเครือข่ายที่ใหญ่กว่า ซึ่งเป็นจุดแข็งที่แตกต่างกัน
**แนวโน้มอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์: ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตในอนาคต**
เมื่อมองไปข้างหน้า ปี 2567 และปีต่อๆ ไป อุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใส ได้รับแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและกระแสโลกที่สำคัญหลายประการ ได้แก่:
* **สังคมผู้สูงอายุ:** ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ ซึ่งความต้องการบริการทางการแพทย์เพื่อการดูแลสุขภาพและรักษาโรคที่มาพร้อมกับวัยจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
* **รายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้น:** การที่ประชากรมีรายได้สูงขึ้น ทั้งในเมืองใหญ่และต่างจังหวัด ส่งผลให้มีความสามารถในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพมากขึ้น
* **โรคระบาดและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง:** การระบาดของโรคตามฤดูกาลและอุบัติใหม่ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยที่กระตุ้นความต้องการบริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง
* **การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน:** ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคมากขึ้น ทำให้บริการตรวจสุขภาพ วัคซีน และเวชศาสตร์ป้องกันเติบโตขึ้น
* **Digital Healthcare:** เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการแพทย์ เช่น Telemedicine, Health App, AI ในการวินิจฉัย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น
* **ประกันสุขภาพ:** ตลาดประกันสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนมีการขยายตัว ทำให้ผู้ป่วยมีช่องทางในการเข้าถึงบริการที่หลากหลายมากขึ้น
* **บทบาทไทยใน Medical Hub:** ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของภูมิภาค ดึงดูดผู้ป่วยต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมอย่างแข็งแกร่ง ข้อมูลและบทวิเคราะห์ต่างๆ ชี้ให้เห็นว่า BDMS ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม มีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะเก็บเกี่ยวโอกาสจากการเติบโตนี้ ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมและศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ที่หลากหลาย

**นโยบายเงินปันผล: ผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังได้**
สำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผล BDMS มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ชัดเจน โดยปกติจะจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ ซึ่งการจ่ายปันผลจะขึ้นอยู่กับแผนการลงทุนและการใช้เงินทุนที่เหมาะสม
จากการดำเนินงานในปี 2566 BDMS ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีในอัตรา 0.70 บาทต่อหุ้น โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.35 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2566 และมีมติเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลืออีก 0.35 บาทต่อหุ้น ซึ่งกำหนดวันไม่ได้รับสิทธิปันผล (เครื่องหมาย XD) คือวันที่ 6 มีนาคม 2567 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2567
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลการพิจารณาจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการในอนาคตที่น่าสนใจ เช่น แผนการเสนอจ่ายเงินปันผลรวม 0.75 บาทต่อหุ้น จากผลประกอบการในปี 2567 โดยได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.35 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 และมีแผนเสนอจ่ายส่วนที่เหลือ 0.40 บาทต่อหุ้น หลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น โดยกำหนดวันไม่ได้รับสิทธิปันผลคือวันที่ 12 มีนาคม 2568 และวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นคือวันที่ 13 มีนาคม 2568 และวันจ่ายเงินปันผลคือวันที่ 25 เมษายน 2568 รวมถึงมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 ในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดจ่ายในวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงความสม่ำเสมอและแนวโน้มการจ่ายปันผลที่ดีในอนาคต หากผลประกอบการยังคงเติบโตตามคาด
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น BDMS ในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่อผลประกอบการและแนวโน้มในอนาคต เช่น การที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 6 มีนาคม 2567 (+4.42% แตะ 29.50 บาท) ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการปี 2566 ที่ดีเยี่ยม และการคาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาส 1/2567 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ บทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินหลายแห่งคาดการณ์ว่ารายได้ของ BDMS ในปี 2567 จะยังคงเติบโตได้อีก 10-20% จากการเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติ และรายได้รวมคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปีในช่วงปี 2567-2569 จากการขยายจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยจาก 8,600 เป็น 9,300 เตียง ซึ่งตอกย้ำถึงศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจนี้
**สรุปและข้อเสนอแนะสำหรับนักลงทุน**
จากข้อมูลผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปี 2566 การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ทั้งจากผู้ป่วยไทยและต่างชาติ รวมถึงการขยายตัวของศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์และเครือข่ายโรงพยาบาล ประกอบกับแนวโน้มอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกจากสังคมผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และ Medical Hub ของไทย ทำให้ BDMS เป็นหุ้นที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนระยะยาว
นักลงทุนที่สนใจ BDMS สามารถคาดหวังได้ทั้งผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลที่ค่อนข้างสม่ำเสมอตามนโยบายของบริษัท และโอกาสในการเพิ่มขึ้นของมูลค่าราคาหุ้น อย่างไรก็ตาม แม้ธุรกิจจะมีแนวโน้มที่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีความท้าทายด้านต้นทุนที่สูงขึ้นตามการขยายตัวและการลงทุน ซึ่ง BDMS ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการที่ดีในปีที่ผ่านมา
การลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลโดยเฉพาะ BDMS อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการจัดพอร์ตลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการลงทุนอื่นๆ นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับลักษณะธุรกิจและการแข่งขันในอุตสาหกรรมอย่างรอบคอบ ติดตามข่าวสารและบทวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด
สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนคือ ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง ควรประเมินสภาพคล่องของตนเอง และวางแผนกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากยังมีความไม่แน่ใจ การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้มั่นใจว่าได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้าน ก่อนที่จะนำเงินออมไปลงทุนในตลาดหุ้น.