“`html
## ชีพจรหุ้นโรงพยาบาลไทย: เขย่าอย่างไรก็ยังแข็งแรง

ในยุคที่กระแสเศรษฐกิจโลกและในประเทศผันผวนราวกับคลื่นลมในมหาสมุทร การมองหา “ท่าเรือ” ที่มั่นคงสำหรับเงินลงทุนดูจะเป็นภารกิจสำคัญของนักลงทุนหลายคน หลายคนอาจสงสัยว่า ในบรรยากาศที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ มีอุตสาหกรรมไหนบ้างที่ยังคงยืนหยัดและมีศักยภาพเติบโตได้? จากข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกที่เราได้ประมวลมา **”หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล”** ดูจะเป็นหนึ่งในคำตอบที่น่าสนใจ และไม่ได้น่าสนใจแค่ในฐานะหุ้นเชิงรับ (Defensive Stock) ที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจขาลงเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยขับเคลื่อนที่ทำให้เห็นถึงโอกาสในการเติบโตอย่างชัดเจนในช่วงเวลาข้างหน้า

ลองนึกถึงยามที่เราเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือรุนแรง สิ่งแรกที่เรานึกถึงย่อมหนีไม่พ้น “โรงพยาบาล” ความต้องการบริการทางการแพทย์คือความจำเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเฟื่องฟู ผู้คนมีกำลังใช้จ่ายสูง หรืออยู่ในภาวะชะลอตัว รายจ่ายด้านสุขภาพมักเป็นลำดับต้นๆ ที่ถูกกันไว้ นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลมีความแตกต่างและแข็งแกร่งกว่าหลายอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวต่อกำลังซื้อของผู้คนโดยตรง

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย ซึ่งมีการจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมนี้จะมี **การเติบโตประมาณ 10% ในปี 2567** เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้สะท้อนความแข็งแกร่งและศักยภาพที่ไม่ได้มาจากการ “รอด” เพียงอย่างเดียว แต่มาจาก “การเติบโต” ที่มีแรงหนุนหลายด้าน

ปัจจัยแรกที่เห็นได้ชัดคือ **การกลับมาของโรคระบาดตามฤดูกาลและโรคทางเดินหายใจต่างๆ** แม้จะไม่รุนแรงเท่าช่วงโควิด-19 แต่ก็สร้างสิ่งที่เรียกว่า “Pent-up demand” หรือความต้องการที่ถูกอั้นไว้ในช่วงก่อนหน้า ให้ผู้ป่วยกลับมาใช้บริการตามปกติ รวมถึงการรักษาโรคที่ถูกเลื่อนออกไปในช่วงที่กังวลเรื่องการระบาดใหญ่ นี่เป็นแรงส่งระยะสั้นที่สำคัญ

นอกจากนี้ โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งยังไม่หยุดนิ่ง **มีการลงทุนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง** ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ เพิ่มจำนวนเตียงในโรงพยาบาลเดิม หรือเปิดศูนย์การแพทย์เฉพาะทางที่รองรับโรคและภาวะที่ซับซ้อนมากขึ้น ควบคู่ไปกับการ **ปรับโครงสร้างค่าบริการ** และใช้กลยุทธ์ที่เน้นการรักษาโรคที่มีความ “เข้มข้น” (Intensity) สูงขึ้น เช่น การตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือพิเศษอย่าง CT Scan, MRI หรือการผ่าตัดที่ซับซ้อน ซึ่งมีอัตรากำไรที่ดีกว่า

อีกปัจจัยที่น่าสนใจและเริ่มเห็นผลเต็มที่ในปีนี้คือ **ผลบวกจากการปรับขึ้นค่าหัวประกันสังคม** การที่ภาครัฐมีการปรับเพิ่มวงเงินการดูแลผู้มีสิทธิประกันสังคม ส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ทำให้รายได้ส่วนนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ **การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว** ก็เป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยเฉพาะหลังจากมาตรการ “วีซ่าฟรี” สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาติอื่นๆ ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวม แต่ยังดึงดูดผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย หรือที่เรียกว่า Medical Tourism ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังใช้จ่ายสูงและเป็นแหล่งรายได้สำคัญของโรงพยาบาลเอกชนระดับบน

มองไปข้างหน้า ยังมีปัจจัยเชิงเมกะเทรนด์ที่สนับสนุนการเติบโตในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น **สังคมผู้สูงอายุ** ที่ความต้องการบริการทางการแพทย์จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้, **การขยายตัวของชุมชนเมือง** ที่ทำให้โรงพยาบาลในเขตเมืองและปริมณฑลมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น, และ **การเกิดโรคอุบัติใหม่** ที่แม้จะเป็นความท้าทาย แต่ก็สร้างความต้องการบริการทางการแพทย์เฉพาะทางอย่างต่อเนื่อง

หากเจาะลึกเข้าไปในมุมของการดำเนินงานและงบการเงิน ธุรกิจโรงพยาบาลมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างหนึ่งคือ **สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์** ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของสินทรัพย์รวม นี่สะท้อนถึงลักษณะธุรกิจที่ต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย แม้จะมีสินทรัพย์คงที่สูง แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานมักจะค่อนข้างสม่ำเสมอ เพราะรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของรายได้หลักย่อมมาจาก **การให้บริการทางการแพทย์** ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ใช้วัดประสิทธิภาพและรายได้มักจะดูจากจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการ (ทั้งผู้ป่วยใน IPD และผู้ป่วยนอก OPD) รวมไปถึงรายได้ต่อเตียงต่อวัน (Average Revenue Per Bed-Day) และค่าบริการที่ปรับขึ้น การบริหารจัดการต้นทุน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรทางการแพทย์ (แพทย์ พยาบาล) และเวชภัณฑ์ยา ก็เป็นหัวใจสำคัญในการทำกำไร

การทำความเข้าใจโครงสร้างรายได้ตาม **ประเภทลูกค้า** ก็ช่วยให้เห็นภาพโรงพยาบาลแต่ละแห่งชัดเจนขึ้น โดยแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ได้แก่

1. **ลูกค้าเงินสด/ชำระเอง:** เป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ที่มีกำไรสูง และมักมีลูกหนี้การค้าน้อย เพราะส่วนใหญ่ชำระเงินทันที เป็นฐานลูกค้าสำคัญของโรงพยาบาลระดับบน
2. **ลูกค้าสิทธิประกันสังคม/สิทธิภาครัฐอื่นๆ:** โรงพยาบาลต้องสำรองจ่ายค่ารักษาไปก่อน แล้วจึงไปเบิกคืนจากภาครัฐในภายหลัง ทำให้มักมีลูกหนี้การค้าสูง อย่างไรก็ตาม สำหรับโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนผู้ป่วยประกันสังคมสูง โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน ก็จะมีรายได้แบบเหมาจ่ายรายปีที่ค่อนข้างแน่นอน
3. **ลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ:** โรงพยาบาลบางแห่งมีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติสูง ซึ่งได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและมาตรการส่งเสริม Medical Tourism

เมื่อพิจารณาถึงผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ ก็มีหลากหลายระดับ จากข้อมูลที่รวบรวมมา พบว่ามีทั้งโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำตลาดอย่าง **BDMS** และ **BH** ซึ่งมีจุดแข็งในการรองรับผู้ป่วยโรคซับซ้อนและผู้ป่วยต่างชาติ มีการลงทุนขยายเครือข่ายและพัฒนาศูนย์เฉพาะทางอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันก็มีผู้เล่นที่มีจุดยืนแตกต่างกันไป เช่น **BCH** ซึ่งมีเครือข่ายโรงพยาบาลที่ครอบคลุมหลายกลุ่มลูกค้า ทั้งโรงพยาบาลระดับบนอย่าง WMC (สำหรับชาวต่างชาติ) ไปจนถึงโรงพยาบาลในเครือเกษมราษฎร์ ที่เน้นผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยประกันสังคม ซึ่งได้รับประโยชน์โดยตรงจากการปรับขึ้นค่าหัวประกันสังคม และมีบทวิเคราะห์บางแห่งคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่ดีในปีนี้

นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลขนาดกลางและเล็กอื่นๆ ที่น่าจับตา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโมเมนตัมการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ผ่านมาของ **WPH** ที่ทำกำไรเติบโตได้ดี รายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งมาจากการขยายโรงพยาบาลใหม่และรับผู้ป่วยประกันสังคมมากขึ้น หรือ **VIH** ที่มีแผนการขยายและพัฒนาโรงพยาบาลในเครืออย่างต่อเนื่อง รวมถึง **PHG** ซึ่งมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่รองรับลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้งเงินสด ประกันสังคม และกำลังพัฒนาบริการที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด ขณะที่ **VIBHA** ก็เป็นอีกผู้เล่นที่มีเครือข่ายและมีการเติบโตของรายได้และกำไรในไตรมาสแรกเช่นกัน

ภาพรวมจากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลยังคงเป็น **อุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง** ด้วยลักษณะของธุรกิจที่เป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ทำให้ความต้องการบริการไม่หายไปไหน แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว และยังมีปัจจัยขับเคลื่อนที่ชัดเจน ทั้งการกลับมาของโรคตามฤดูกาล การขยายตัวของธุรกิจ การปรับขึ้นค่าบริการและกลยุทธ์การรักษาโรคซับซ้อน อานิสงส์จากประกันสังคม และที่สำคัญคือการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลก็เหมือนกับการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ คือต้องพิจารณาถึงปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัทด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างรายได้จากกลุ่มลูกค้าต่างๆ (เงินสด vs ประกันสังคม vs ต่างชาติ) ความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและบุคลากร (โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์) แผนการลงทุนขยายงาน และภาระหนี้สินจากการลงทุนเหล่านั้น

กล่าวโดยสรุป หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลไทยยังคงเป็น “หลุมหลบภัย” ที่ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากความสามารถในการทนทานต่อความผันผวนแล้ว ยังมีพลังขับเคลื่อนการเติบโตที่มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและเชิงวัฏจักรที่เกื้อหนุนกัน ทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมนี้ดูแข็งแรงและมีอนาคตที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในยามที่คลื่นลมเศรษฐกิจยังคงแปรปรวน.
“`