## มองหาที่พักเงินยามผันผวน? ส่องกองทุนโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน กับอนาคตที่ต้องจับตา

ในยุคที่ความไม่แน่นอนดูจะเป็นเพื่อนสนิทของตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นๆ ลงๆ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หรือแม้แต่ปัจจัยการเมืองที่คาดเดายาก นักลงทุนหลายคนคงกำลังมองหาที่ ‘พักเงิน’ หรือสินทรัพย์ที่พอจะมอบความมั่นคงและกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอได้บ้างในพอร์ตโฟลิโอ

ลองจินตนาการว่าเราเป็น ‘เจ๊น้อยขายผัก’ ที่ตลาดสด ยามที่ผักราคาดี ลูกค้ามาซื้อเยอะก็ดีใจ แต่พอเจอหน้าฝนหนักๆ ผักเน่าเสีย หรือคนไม่มาเดินตลาด รายได้ก็ไม่แน่นอน การลงทุนก็คล้ายๆ กัน คือเราอยากได้ ‘แผงผัก’ ที่ขายดีตลอดปี มีลูกค้าประจำ ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากลมฟ้าอากาศเท่าไหร่ ซึ่งในโลกการเงิน สินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่มักถูกพูดถึงในบริบทนี้ก็คือ ‘กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน’

กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยพื้นฐานแล้วคือการระดมเงินจากนักลงทุนไปลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของเรา เช่น ถนน ทางด่วน รถไฟฟ้า สนามบิน หรือแม้แต่โรงไฟฟ้า โครงการเหล่านี้มักมีลักษณะเฉพาะคือเป็นสิ่งที่คนต้องใช้ มีกระแสรายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ และมักมีสัญญาระยะยาวรองรับ ทำให้ดูเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงกว่าการลงทุนในธุรกิจทั่วไปที่ต้องแข่งขันท่ามกลางกระแสแฟชั่นหรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

หนึ่งในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่น่าสนใจ และมีข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกให้เราได้พิจารณาในครั้งนี้คือ **กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มบริษัทบีทีเอส แรบบิท (BTSGIF)** หรือที่รู้จักกันในนาม **KBSPIF** กองทุนนี้มีความพิเศษและมีแง่มุมที่น่าสนใจที่เราจะมา ‘แกะ’ ดูกันแบบชัดๆ

**KBSPIF: แหล่งพลังงานจาก ‘ชานอ้อย’ สู่รายได้ที่มั่นคง?**

KBSPIF เป็นกองทุนที่ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 3 แห่งในกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KBS ลองนึกภาพโรงงานน้ำตาลที่หลังจากบีบน้ำอ้อยไปแล้วก็เหลือ ‘ชานอ้อย’ ซึ่งปกติอาจเป็นของเหลือทิ้ง แต่โรงไฟฟ้าเหล่านี้กลับนำชานอ้อยเหล่านั้นมาเป็นเชื้อเพลิง ปั่นเป็นกระแสไฟฟ้า แล้วนำไปขาย

หัวใจสำคัญที่ทำให้กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนในโรงไฟฟ้าดูน่าสนใจก็คือ ‘สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement – PPA)’ ในกรณีของ KBSPIF โรงไฟฟ้ามีสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่มั่นคง นี่หมายความว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่โรงไฟฟ้ายังผลิตไฟฟ้าได้ และทำตามเงื่อนไขในสัญญา ก็จะมี ‘ผู้ซื้อ’ ที่แน่นอน และ ‘ราคา’ ที่ค่อนข้างคงที่ตามที่ตกลงกันไว้

ความมีสัญญาระยะยาวรองรับแบบนี้เองที่ทำให้กระแสรายได้ของ KBSPIF มีความสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ง่ายกว่าธุรกิจที่ต้องพึ่งพายอดขายที่ผันผวนตามภาวะตลาด หรือสินค้าแฟชั่น ลองย้อนไปดูในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่หลายธุรกิจซบเซา KBSPIF กลับแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้ายังคงมีอยู่ และรายได้ก็ยังคงไหลเข้ามาจากสัญญา ทำให้กองทุนนี้สามารถจ่ายผลตอบแทนคืนให้กับผู้ถือหน่วยได้อย่างต่อเนื่อง

**ปันผล ‘ใจป้ำ’ คือจุดเด่นสำคัญ**

ด้วยลักษณะของรายได้ที่ค่อนข้างนิ่งและคาดการณ์ได้ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากจึงมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอและในอัตราที่สูง KBSPIF ก็เช่นกัน จากข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึก กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว ซึ่งนับว่า ‘ใจป้ำ’ มากๆ สำหรับนักลงทุนที่มองหากระแสเงินสดรับอย่างสม่ำเสมอ หากมองในมุมของ ‘เจ๊น้อยขายผัก’ นี่ก็เหมือนกับการที่เรามีลูกค้าประจำที่มาเหมาผักทุกวัน ทำให้เรามีเงินเข้ากระเป๋าแน่นอนแทบทุกวันนั่นเอง

อัตราการจ่ายปันผลที่สูงนี้ทำให้นักลงทุนที่เน้น ‘การกินปันผล’ หรือ Income Investor ชื่นชอบ KBSPIF เป็นพิเศษ เพราะถือเป็นแหล่งรายได้ Passive Income ที่น่าสนใจ แต่การลงทุนทุกรูปแบบย่อมมีอีกด้านที่เราต้องพิจารณาให้รอบคอบเสมอ

**มุมที่ต้อง ‘จับตา’: อนาคตที่ ‘มีวันหมดอายุ’**

นี่คือจุดสำคัญที่แตกต่างจากการลงทุนในหุ้นบริษัททั่วไปที่เรามักจะมองว่ากิจการจะดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่มักจะมี ‘อายุขัย’ หรือวันสิ้นสุดโครงการที่ลงทุนไว้ ซึ่งในกรณีของ KBSPIF ก็คือการที่สิทธิในรายได้สุทธิจากโรงไฟฟ้าตามสัญญาจะสิ้นสุดลงใน **ปี 2581 (ค.ศ. 2038)**

ลองนึกภาพนาฬิกาทรายที่เริ่มจับเวลาตั้งแต่กองทุนจัดตั้งขึ้น เม็ดทรายค่อยๆ ไหลลงมา บอกเราว่า ‘เวลา’ หรือ ‘อายุขัย’ ของสิทธิในการรับรายได้กำลังนับถอยหลัง เมื่อถึงปี 2581 สิทธิในรายได้ดังกล่าวจะหมดลง และกองทุนก็จะดำเนินการชำระบัญชี (Liquidation) นั่นคือการขายทรัพย์สินที่เหลืออยู่ (เช่น โรงไฟฟ้า) แล้วนำเงินที่ได้จากการขายคืนให้กับผู้ถือหน่วยตามสัดส่วน

การมีวันหมดอายุ หรือที่ในวงการเรียกกันว่า **KBSPIF หมดอายุ** นี้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าหน่วยลงทุนโดยตรง เพราะมูลค่าของกองทุนส่วนหนึ่งมาจากการคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow – DCF) ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตจนกว่าจะถึงวันสิ้นสุดสัญญา ยิ่งวันหมดอายุใกล้เข้ามา กระแสเงินสดในอนาคตที่เหลือก็จะยิ่งน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้มูลค่าของหน่วยลงทุนมีแนวโน้มลดลงตามกาลเวลา โดยไม่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าโดยตรงเสมอไป แต่เป็นเรื่องของ ‘เวลาที่เหลืออยู่’ ของสิทธิในรายได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ (ตามที่ระบุในข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกจากมุมมองของ Deepseek ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการประเมินมูลค่าสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานทั่วไป) ก็ใช้วิธีการคำนวณโดยอิงจากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตจนถึงวันหมดอายุนี้แหละในการกำหนดมูลค่าที่เหมาะสมของทรัพย์สินในกองทุน ดังนั้น นักลงทุนที่คิดจะลงทุนใน KBSPIF หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีอายุจำกัด จะต้องทำความเข้าใจเรื่อง ‘อายุขัย’ นี้ให้ถ่องแท้ ไม่ใช่แค่ดูจากอัตราเงินปันผลที่น่าดึงดูดเท่านั้น

**ใครเหมาะกับ KBSPIF? และต้องพิจารณาอะไรอีกบ้าง?**

จากลักษณะที่กล่าวมา KBSPIF อาจเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับ:

1. **นักลงทุนที่เน้น ‘กระแสรายได้’ หรือ Income Investor:** ผู้ที่ต้องการเงินปันผลที่สม่ำเสมอในอัตราที่สูง เพื่อนำไปใช้จ่ายหรือ reinvest มองหาแหล่งพักเงินที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และรับความเสี่ยงที่จำกัดกว่าหุ้นทั่วไปได้ แต่ต้องเข้าใจเรื่องวันหมดอายุของกองทุนและผลกระทบต่อมูลค่าหน่วยลงทุนในระยะยาว

2. **นักลงทุนที่ต้องการ ‘กระจายความเสี่ยง’:** เพิ่มสินทรัพย์ที่มีกระแสรายได้ค่อนข้างคงที่ ไม่ผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจหรือภาวะตลาดหุ้นมากนัก เข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ

อย่างไรก็ตาม KBSPIF อาจไม่ใช่คำตอบหลักสำหรับ:

1. **นักลงทุนที่เน้น ‘การเติบโตของมูลค่า’ หรือ Growth Investor:** ผู้ที่คาดหวังว่าราคาหน่วยลงทุนจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะด้วยลักษณะที่เป็นกองทุนที่มีอายุจำกัด มูลค่าส่วนใหญ่จะมาจากกระแสรายได้ที่คาดว่าจะได้รับจนถึงวันหมดอายุ การเพิ่มขึ้นของราคาหน่วยลงทุนอาจมีข้อจำกัด และมีแนวโน้มลดลงเมื่อเข้าใกล้วันหมดอายุ

นอกจากเรื่อง ‘วันหมดอายุ’ (**KBSPIF หมดอายุ**) ที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดแล้ว นักลงทุนยังควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น:

* **ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน:** แม้จะมีสัญญาซื้อขายไฟ แต่หากโรงไฟฟ้ามีปัญหาขัดข้อง ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตามที่ตกลง อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของกองทุนได้
* **ความเสี่ยงด้านกฎหมายและกฎระเบียบ:** การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านพลังงาน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือสัญญาได้
* **สภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยลงทุน:** ตรวจสอบว่าหน่วยลงทุนมีการซื้อขายในตลาดรอง (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) มากน้อยแค่ไหน เพื่อความสะดวกในการเข้าออก

**สรุป**

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอย่าง KBSPIF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงของกระแสรายได้จากสินทรัพย์สาธารณูปโภคพื้นฐานที่มีสัญญาระยะยาวรองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานชีวมวล ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของโลกในปัจจุบัน

จุดเด่นคือรายได้ที่ค่อนข้างนิ่ง การจ่ายเงินปันผลที่สูงและสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม จุดที่ต้องทำความเข้าใจและยอมรับให้ได้คือการที่กองทุนนี้ **มีวันหมดอายุ** ในปี 2581 (ค.ศ. 2038) ซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าของหน่วยลงทุนเมื่อเข้าใกล้วันดังกล่าว

การลงทุนใน KBSPIF จึงเปรียบเสมือนการซื้อสิทธิในการรับกระแสรายได้ก้อนหนึ่งในช่วงเวลาที่กำหนด ไม่ใช่การเป็นเจ้าของธุรกิจที่คาดว่าจะดำเนินไปตลอดกาล นักลงทุนจึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความน่าดึงดูดของเงินปันผล กับความเสี่ยงด้านมูลค่าหน่วยลงทุนที่จะลดลงเมื่อถึงวัน **KBSPIF หมดอายุ**

ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนอย่างละเอียด ทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานประเภทที่มีอายุจำกัด และประเมินว่าการลงทุนนี้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของคุณหรือไม่ เพื่อให้ ‘แผงผัก’ ในพอร์ตโฟลิโอของคุณสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและเหมาะสมกับความต้องการของคุณจริงๆ ครับ.