## รู้จัก “ดัชนี” เข็มทิศสำคัญ ชี้วัดสุขภาพตลาดหุ้น ที่นักลงทุนควรมองออก
ลองนึกภาพตามนะครับ เพื่อนสนิทของคุณเพิ่งเริ่มลงทุนหุ้นครั้งแรก ผ่านไปเดือนเดียว มาเจอหน้ากันทำหน้าเครียดๆ แล้วถามว่า “เนี่ย ซื้อหุ้นไปหลายตัวเลยนะ บางตัวก็ขึ้นดี บางตัวก็ลงฮวบ แล้วสรุปตอนนี้ตลาดหุ้นมันเป็นยังไงกันแน่? ดีหรือไม่ดี? งงไปหมด!”
คำถามแบบนี้เป็นเรื่องปกติมากสำหรับมือใหม่ เพราะการจะไปนั่งดูราคาหุ้นทีละตัวเป็นร้อยๆ ตัว หรือกระทั่งหลายร้อยตัวในตลาดหลักทรัพย์ฯ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกภาพรวมได้ในทันที ตลาดหุ้นมันดูเหมือนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้คลื่นกำลังจะซัดเข้าฝั่ง หรือกำลังจะเงียบสงบ? นี่แหละครับคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องรู้จัก “ดัชนี” หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Index”
**แล้วเจ้า “ดัชนี” นี่คืออะไรกันแน่?**
พูดให้เข้าใจง่ายที่สุด ดัชนีก็เหมือนกับ “ตัวแทน” หรือ “ค่าเฉลี่ย” ที่สะท้อนภาพรวมของการเคลื่อนไหวของกลุ่มหุ้นที่เราสนใจ แทนที่จะต้องไปดูหุ้นทุกตัว เราก็แค่ดูที่ตัวเลขดัชนีนี้ตัวเดียว ก็พอจะบอกได้คร่าวๆ แล้วว่า ณ เวลานั้นๆ ตลาดหรือกลุ่มหุ้นที่เรากำลังมองอยู่นั้น มีแนวโน้มเป็นอย่างไร ขึ้นหรือลง แรงแค่ไหน

ลองเปรียบเทียบแบบสนุกๆ นะครับ สมมติว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังร้านหนึ่ง ที่มีเมนูสารพัด ทั้งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อย ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ สารพัดเส้น สารพัดเครื่อง แต่ละเมนูก็ราคาไม่เท่ากัน วันหนึ่งเราอยากรู้ว่า “ภาพรวมราคาอาหารที่ร้านนี้เป็นยังไงบ้างนะ เมื่อเทียบกับเมื่อวาน” เราคงไม่ไปนั่งดูราคาแต่ละเมนูทุกเมนูแล้วมาเฉลี่ยเองทั้งหมดทุกชามใช่ไหมครับ?
ดัชนีก็ทำหน้าที่คล้ายๆ กันนี่แหละครับ แทนที่จะดูราคาหุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์ฯ เราก็มีตัวเลขดัชนีตัวหนึ่งที่คำนวณมาจาก “ตะกร้า” หรือ “กลุ่ม” ของหุ้นบางตัวที่ถูกคัดเลือกมาแล้ว หุ้นในตะกร้านี้อาจจะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ๆ เป็นบริษัทแถวหน้าของประเทศ หรืออาจจะเป็นหุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเหล่านี้ เมื่อนำมาคำนวณรวมกันตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะได้เป็นตัวเลขดัชนีออกมา
**ทำไมต้องมีดัชนี? มันช่วยอะไรเราได้บ้าง?**
เหตุผลหลักเลยก็คือ เพื่อความสะดวกในการติดตามและประเมินผลครับ
1. **เป็น “เทอร์โมมิเตอร์” วัดไข้ตลาด:** เหมือนเวลาเราป่วยแล้ววัดอุณหภูมิ ดัชนีก็ช่วยบอกสุขภาพของตลาดหุ้นได้ ถ้าดัชนีขึ้น ส่วนใหญ่ก็แปลว่าหุ้นในกลุ่มนั้นๆ ราคาเฉลี่ยกำลังปรับตัวขึ้น ถ้าดัชนีลง ก็แปลว่าราคาเฉลี่ยกำลังปรับตัวลง
2. **เป็น “เกณฑ์อ้างอิง” (Benchmark):** นักลงทุนมักจะใช้ดัชนีเป็นตัวเปรียบเทียบเพื่อดูว่าผลตอบแทนจากการลงทุนของตัวเองนั้น “เก่งกว่า” หรือ “แย่กว่า” ตลาดโดยรวมหรือไม่ เช่น ถ้าดัชนี SET (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ปีนี้ขึ้น 10% แต่พอร์ตของเราขึ้นแค่ 5% ก็แปลว่าปีนี้เราทำได้แย่กว่าตลาดโดยรวม เป็นต้น
3. **เป็นเครื่องมือในการลงทุน:** มีกองทุนรวมหลายประเภทที่เน้นลงทุนโดยอิงตามดัชนี (เรียกว่ากองทุนดัชนี หรือ Index Fund) ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนเหล่านี้ได้ เพื่อให้พอร์ตของเราเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนี

**ดัชนี SET ตัวชี้วัดหลักของไทย**
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนีที่เราคุ้นเคยและใช้เป็นตัวชี้วัดหลักก็คือ **ดัชนี SET (SET Index)** ซึ่งคำนวณมาจากราคาหุ้นสามัญทุกตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ยกเว้นหุ้นที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP, NP, NC) การคำนวณดัชนี SET นั้นจะใช้วิธีที่เรียกว่า **”การคำนวณแบบถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (Market Capitalization Weighted Average)** ฟังดูซับซ้อน แต่หลักการง่ายๆ ก็คือ หุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่กว่า (ราคาหุ้นคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด) ก็จะมีน้ำหนักหรือมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขดัชนีมากกว่าหุ้นของบริษัทเล็กๆ ครับ เหมือนเวลาคำนวณเกรดเฉลี่ย วิชาที่หน่วยกิตเยอะๆ ก็มีผลต่อเกรดรวมมากกว่าวิชาที่หน่วยกิตน้อยๆ นั่นแหละครับ
นอกจากดัชนี SET ที่เป็นภาพรวมแล้ว ยังมีดัชนีอื่นๆ ที่เจาะจงกลุ่มหุ้นมากขึ้น เช่น **ดัชนี SET50** ซึ่งมาจากหุ้นสามัญ 50 ตัวที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ สภาพคล่องสูง และมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยตามเกณฑ์ หรือ **ดัชนี SET100** ที่มาจากหุ้น 100 ตัวแรก ซึ่งดัชนีเหล่านี้ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามหุ้นกลุ่มใหญ่ๆ ของประเทศเช่นกัน
**ดัชนีทั่วโลก ก็มีหลากหลาย**
ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่มีดัชนีชี้วัด ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกก็มีดัชนีเป็นของตัวเองทั้งนั้นครับ ตัวอย่างที่ได้ยินบ่อยๆ เช่น
* **Dow Jones Industrial Average (DJIA)** ของสหรัฐอเมริกา
* **S&P 500** ของสหรัฐอเมริกา (เป็นที่นิยมใช้อ้างอิงมากกว่า DJIA ในปัจจุบัน เพราะครอบคลุมหุ้นใหญ่ 500 ตัว)
* **Nikkei 225** ของญี่ปุ่น
* **Hang Seng Index** ของฮ่องกง
* **Shanghai Composite Index** ของจีน
การที่ดัชนีสำคัญๆ เหล่านี้มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ก็อาจจะบอกได้ถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลก หรือแนวโน้มการลงทุนในระดับมหภาคครับ
**ดัชนีกับ “ตลาดกระทิง” และ “ตลาดหมี”**
เวลาเราได้ยินคำว่า “ตลาดกระทิง” หรือ “ตลาดหมี” ส่วนใหญ่ก็อิงจากการเคลื่อนไหวของดัชนีนี่แหละครับ
* **ตลาดกระทิง (Bull Market):** เปรียบเหมือนกระทิงที่ชอบขวิดขึ้น เป็นสภาวะที่ดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน และภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโต ส่วนใหญ่เมื่อดัชนีปรับขึ้นไปถึงระดับหนึ่งเป็นเวลานาน มักจะถูกเรียกว่าอยู่ในสภาวะตลาดกระทิง
* **ตลาดหมี (Bear Market):** เปรียบเหมือนหมีที่ตะปบลง เป็นสภาวะที่ดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง มักเกิดจากความกังวลของนักลงทุน ปัญหาเศรษฐกิจ หรือวิกฤตต่างๆ เมื่อดัชนีปรับลดลงจากจุดสูงสุดลงมาเป็นสัดส่วนที่มากพอสมควร (เช่น 20% หรือมากกว่า) มักจะถูกเรียกว่าอยู่ในสภาวะตลาดหมี
การเข้าใจสภาวะตลาดจากดัชนีช่วยให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงและโอกาสได้ดีขึ้นครับ
**บทเรียนจากตัวเลข: ความผันผวนที่ดัชนีบอกเรา**
ข้อมูลการเคลื่อนไหวของดัชนีในอดีตเป็นบทเรียนที่มีค่า เช่น หากย้อนไปดูช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 หรือช่วงเริ่มต้นการระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 เราจะเห็นว่าดัชนี SET เคยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว สะท้อนถึงความตื่นตระหนกของตลาด แต่หลังจากนั้น ดัชนีก็ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ สิ่งนี้บอกเราว่า ตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นเรื่องปกติ มีช่วงที่ขึ้นแรง และช่วงที่ลงแรง แต่อย่างที่มุมมองจากข้อมูลเชิงลึกได้ประมวลไว้ ตลาดมีกลไกในการปรับตัวและฟื้นฟูตัวเองได้ในระยะยาว แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิดได้เสมอ เช่นเดียวกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนและบรรยากาศการลงทุนโดยรวมได้

**สรุปมุมมองและคำแนะนำง่ายๆ**
เจ้า **ดัชนี** นี่แหละครับ คือเครื่องมือชั้นดีที่จะช่วยให้เราไม่หลงทางในโลกการลงทุนที่ซับซ้อน มันไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเหมือนแผนที่ที่บอกเราว่าตอนนี้ทิศทางตลาดกำลังไปทางไหน การรู้จักและติดตามดัชนีช่วยให้เรา:
* **เข้าใจภาพใหญ่:** เห็นแนวโน้มของตลาดโดยรวม ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของหุ้นรายตัวมากเกินไปในเบื้องต้น
* **ประเมินผลตอบแทน:** ใช้เปรียบเทียบกับผลการลงทุนของตัวเอง
* **ใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ:** ไม่ว่าจะลงทุนเอง หรือลงทุนผ่านกองทุนที่อิงดัชนี
สำหรับใครที่ยังรู้สึกว่าการเลือกหุ้นรายตัวนั้นยากเกินไป การพิจารณาลงทุนในกองทุนที่อิงดัชนี (Index Fund) ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆ ตัวตามสัดส่วนของดัชนี และมักมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนประเภทอื่น
บทเรียนสำคัญอีกอย่างที่ข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกย้ำเตือนคือ ตลาดมีความผันผวนเสมอ ไม่มีอะไรขึ้นตลอดไป และก็ไม่มีอะไรลงตลอดไป การลงทุนที่ดีมักจะมาพร้อมกับการวางแผนระยะยาว และการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือที่เรียกว่า DCA (Dollar-Cost Averaging) เหมือนคำแนะนำที่ว่า “ถ้าเงินสดสำรองยังไม่พอ แทนที่จะเอาเงินไปซื้อไก่ทอด KFC ทุกสัปดาห์ ลองเจียดเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในกองทุนรวมแบบถัวเฉลี่ยสม่ำเสมอ (DCA) ดูบ้าง” นี่คือการเริ่มต้นเล็กๆ ที่สร้างความมั่นคงได้ในระยะยาว
การทำความเข้าใจว่า **ดัชนีคืออะไร** และทำงานอย่างไร ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญมากในการเดินทางสายนักลงทุนครับ เมื่อเราอ่าน “เข็มทิศ” ออก การผจญภัยในมหาสมุทรตลาดหุ้นก็จะมีความหมายและน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น ขอให้ทุกคนสนุกกับการเรียนรู้และประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ!