## เมื่อเวลา “เปิด-ปิด” ตลาดหุ้นไทยไม่เหมือนเดิม: จับสัญญาณการเปลี่ยนแปลง และมุมมองที่นักลงทุนต้องรู้

เคยไหมครับที่กำลังจะส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นตัวโปรด แต่พอเหลียวไปดูเวลาบนหน้าจอ กลับพบว่าตลาดปิดทำการไปแล้ว? หรือบางทีก็สงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมวันนี้รู้สึกตลาดหุ้นเปิดซื้อขายกันเร็วกว่าปกติ? เรื่องของ “เวลาเปิดปิดตลาดหุ้นไทย” อาจฟังดูเป็นเรื่องพื้นฐานที่เราคุ้นเคยกันดี แต่เชื่อไหมครับว่า แม้แต่เวลาทำการซื้อขายนี้ก็ยังมีการปรับเปลี่ยนได้ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของตลาดทุนที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา

ลองนึกภาพร้านอาหารร้านประจำของเรา ที่บางครั้งก็มีการปรับเวลาเปิด-ปิด เพื่อรองรับลูกค้าได้มากขึ้น หรือเพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้คนในยุคปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เช่นกันครับ ในฐานะที่เป็น “ตลาด” ให้เราได้เข้ามาจับจ่าย “หุ้น” หรือสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ การปรับเปลี่ยนเวลาทำการก็เป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ล่าสุด ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้มีการปรับปรุงเวลาซื้อขายในรอบบ่าย โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป จากเดิมที่รอบบ่ายจะเริ่มซื้อขายตั้งแต่เวลา 14:30 น. ไปจนถึง 16:30 น. ได้ถูกปรับให้เริ่มต้นเร็วขึ้น 30 นาที กลายเป็น **เวลาเปิดปิดตลาดหุ้นไทย** ในรอบบ่ายคือ **14:00 น. ถึง 16:30 น.** ซึ่งแน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนนี้ไม่ได้มีแค่ตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX ก็มีการปรับเวลาซื้อขายให้สอดคล้องกันด้วย

การเปลี่ยนแปลงนี้อาจฟังดูเล็กน้อย แค่ขยับเวลาเร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง แต่เบื้องหลังของการตัดสินใจนี้มีเหตุผลเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจครับ ข้อมูลที่รวบรวมมานั้นชี้ให้เห็นว่า หนึ่งในเหตุผลหลักคือการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการ **ยืดเวลาซื้อขายรวมในแต่ละวันให้ยาวนานขึ้น** โดยมีเป้าหมายที่จะขยายเวลาทำการซื้อขายรวมให้ได้ 5-7 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งการปรับรอบบ่ายให้เร็วขึ้นก็เป็นก้าวแรกของการไปถึงเป้าหมายนั้น

ทำไมต้องยืดเวลาซื้อขายให้ยาวขึ้น? คำตอบก็คือ เพื่อให้ **สอดคล้องกับเวลาทำการของตลาดหุ้นในภูมิภาค** และตลาดหุ้นชั้นนำทั่วโลก การที่ตลาดหุ้นไทยมีเวลาซื้อขายที่ทับซ้อนกับตลาดอื่นมากขึ้น จะช่วยให้นักลงทุน ทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ มีเวลามากขึ้นในการตอบสนองต่อข่าวสาร เหตุการณ์ หรือแนวโน้มต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ตลาดต่างประเทศกำลังเปิดทำการ หรือมีประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุน

ลองคิดดูนะครับว่า หากมีข่าวใหญ่ออกมาในช่วงเวลาพักเที่ยงของตลาดหุ้นไทย นักลงทุนก็อาจต้องรอจนถึงบ่ายสองครึ่ง (เวลาเดิม) กว่าจะสามารถเข้ามาปรับพอร์ตหรือส่งคำสั่งซื้อขายได้ การปรับเวลาให้เริ่มเร็วขึ้นครึ่งชั่วโมงนี้ ก็เหมือนกับการเปิดโอกาสให้เราได้ “ออกตัว” ได้เร็วขึ้น มีเวลาในการตัดสินใจและดำเนินการตามแผนการลงทุนได้มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความคล่องตัวในการซื้อขาย หรือที่เรียกว่า **สภาพคล่อง (Liquidity)** ของตลาดโดยรวม ให้มีมากขึ้นตามไปด้วย

นอกจากเหตุผลเรื่องเวลาและการเชื่อมต่อกับตลาดโลกแล้ว การปรับเปลี่ยนนี้ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง หากมองย้อนกลับไปในช่วงก่อนการปรับเปลี่ยนเวลาในเดือนมีนาคม 2567 เราจะพบว่า ดัชนี SET โดยรวมมีแนวโน้มที่ค่อนข้างอ่อนแอ และมีแรงขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจาก **นักลงทุนต่างชาติ** ที่มีสถานะ **ขายสุทธิ** อย่างมีนัยสำคัญ

ในทางกลับกัน นักลงทุนประเภทอื่นๆ อย่างนักลงทุนรายย่อย หรือสถาบันในประเทศ ก็มีการเคลื่อนไหวซื้อขายแตกต่างกันไป ซึ่งภาพรวมของตลาดที่อยู่ในช่วงขาลง หรือ Sideway Down ที่มีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและแรงขายของนักลงทุนกลุ่มใหญ่ อาจทำให้การปรับเพิ่มเวลาซื้อขายเข้ามาในช่วงนี้ยิ่งน่าจับตาว่า จะช่วยเพิ่มความคึกคัก หรืออาจจะเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดได้มากน้อยแค่ไหน

สำหรับนักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ การปรับเปลี่ยน **เวลาเปิดปิดตลาดหุ้นไทย** ครั้งนี้ มีอะไรที่เราต้องใส่ใจบ้าง?
ประการแรกเลยคือเรื่อง **การปรับตารางเวลาส่วนตัว** หากปกติเรามีช่วงเวลาที่ใช้ดูราคาหรือส่งคำสั่งซื้อขายในช่วงบ่าย ก็ต้องขยับมาดูเร็วขึ้นอีกครึ่งชั่วโมง ซึ่งอาจส่งผลกระทบสำหรับผู้ที่มีภารกิจในช่วงบ่าย เช่น การประชุม หรือการเดินทาง การตั้งแจ้งเตือน หรือการใช้ระบบซื้อขายอัตโนมัติ (Auto Trade) อาจเป็นตัวช่วยที่ดี

ประการที่สอง คือ **การทำความเข้าใจกับช่วงเวลาการซื้อขายย่อยๆ** นอกเหนือจากรอบเช้าและรอบบ่ายที่เรารู้จักกันดี ตลาดหุ้นยังมีช่วงเวลาอื่นๆ อีก เช่น ช่วง Pre-open ที่เป็นการเปิดให้ส่งคำสั่งซื้อขายก่อนตลาดเปิดจริง เพื่อให้ระบบทำการจับคู่คำสั่งซื้อขายในราคาเปิด และช่วง Post-closing หรือช่วงหลังตลาดปิด ที่ยังมีการซื้อขายบางประเภทอยู่ (เช่น Big Lot) การทราบรายละเอียดของช่วงเวลาเหล่านี้จะช่วยให้เราวางกลยุทธ์การซื้อขายได้รอบคอบยิ่งขึ้น รวมถึงการซื้อขายสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ อย่าง DRx (Depository Receipt) ก็มีเวลาทำการที่อาจแตกต่างออกไป เราจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเฉพาะของสินทรัพย์ที่เราสนใจ

ประการที่สาม คือ **การประเมินผลกระทบต่อสภาพคล่องและความผันผวน** การมีเวลาซื้อขายยาวนานขึ้นตามทฤษฎีแล้วควรจะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง แต่ในทางปฏิบัติ ผลลัพธ์อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ภาวะตลาดโดยรวม ความน่าสนใจของหุ้นแต่ละตัว และปริมาณเงินทุนที่หมุนเวียนอยู่ นอกจากนี้ การมีเวลามากขึ้นในการตอบสนองข่าวสาร ก็อาจหมายถึงโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเร็วและแรงขึ้นตามกระแสข่าว ซึ่งนักลงทุนต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นได้

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง ดร.สมชาย ก็อาจเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับตัวของนักลงทุน และการใช้ประโยชน์จากการมีเวลาซื้อขายที่ยาวนานขึ้นในการบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม การเข้าอบรม หรือการปรึกษาผู้แนะนำการลงทุน ก็เป็นแนวทางที่ดีในการเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้

โดยสรุปแล้ว การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตัดสินใจปรับเปลี่ยน **เวลาเปิดปิดตลาดหุ้นไทย** ในรอบบ่ายให้เร็วขึ้นนั้น เป็นการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งหวังจะยกระดับตลาดทุนไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพิ่มโอกาสในการซื้อขาย และเปิดช่องทางให้นักลงทุนได้ตอบสนองต่อปัจจัยต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้น แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะดูเป็นเพียงการปรับเวลาเล็กน้อย แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว การทำความเข้าใจถึงเหตุผล เบื้องหลัง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนและตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นนี้ครับ

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เข้ากับตารางเวลาและความพร้อมของตนเองเสมอ.