## ปลดล็อกแดนมังกร: สัญญาณจาก PBoC กับทิศทาง ‘ดัชนีหุ้นจีน’ ที่นักลงทุนควรรู้
“ช่วงนี้เห็นข่าวจีนเต็มไปหมดเลย ทั้งเรื่องรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้น ทั้ง ‘ดัชนีหุ้นจีน’ ที่ดูเหมือนจะขยับบ้าง ไม่ขยับบ้าง สรุปแล้วมันยังไงกันแน่? น่าลงทุนไหม?” เสียงคำถามจากเพื่อนที่นั่งจิบกาแฟอยู่ข้างๆ สะท้อนถึงความสับสนของนักลงทุนหลายคน ที่กำลังมองหาโอกาสในตลาดหุ้นแดนมังกร
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรู้สึกแบบนั้นครับ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนจะยังไม่ “ติดเครื่อง” เต็มที่ แม้ทางการจะพยายามงัดสารพัดกลยุทธ์ออกมาก็ตาม โดยเฉพาะบทบาทของธนาคารกลางจีน หรือ People’s Bank of China (PBoC) ซึ่งถือเป็นผู้เล่นหลักในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน และมีผลโดยตรงต่อตลาดการเงิน รวมถึง ‘ดัชนีหุ้นจีน’ ด้วย
ที่ผ่านมา PBoC ไม่ได้นิ่งนอนใจกับภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว พวกเขาได้ใช้เครื่องมือทางการเงินหลายอย่างเพื่อหวังจุดเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ยังอืดอยู่ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น การประกาศลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirement Ratio – RRR) ลง xx% (ใส่ตัวเลขที่ได้จากข้อมูล) ซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดทางให้ธนาคารมีเงินสดอยู่ในมือมากขึ้น เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจและประชาชน นี่คือการ “เติมสภาพคล่อง” ครั้งสำคัญเข้าสู่ระบบ

นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (Medium-term Lending Facility – MLF) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดี (Loan Prime Rate – LPR) ลงอีก xx-xx bps (ใส่ตัวเลขที่ได้จากข้อมูล) การลดดอกเบี้ยนี้มีเป้าหมายโดยตรงเพื่อให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือนลดลง หวังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการบริโภคเพิ่มขึ้น ลองนึกภาพว่า ถ้าการกู้ยืมถูกลง คนก็มีแนวโน้มที่จะกล้าใช้จ่ายหรือขยายธุรกิจมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในบางช่วง PBoC ยังมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบโดยตรงอีกเป็นจำนวนมหาศาลกว่า x.xx ล้านล้านหยวน (ใส่ตัวเลขที่ได้จากข้อมูล) นี่ไม่ใช่แค่การส่งสัญญาณ แต่เป็นการลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบการเงินมีเงินหมุนเวียนเพียงพอที่จะรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ (ที่มา: PBoC)
พอมีข่าวมาตรการกระตุ้นเหล่านี้ออกมา ‘ดัชนีหุ้นจีน’ ทั้งในตลาดแผ่นดินใหญ่ (เช่น Shanghai Composite Index หรือ Shenzhen Component Index) และตลาดฮ่องกงซึ่งเชื่อมโยงกับจีนอย่างใกล้ชิด (เช่น Hang Seng Index – HSI หรือ Hang Seng China Enterprises Index – HSCEI) ก็มีจังหวะที่ขยับตอบรับในเชิงบวกอยู่บ้าง นักลงทุนดูเหมือนจะมีความหวังว่า นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้ง

แต่เอาเข้าจริง ดูเหมือนแรงส่งยังไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร ตลาดไม่ได้วิ่งทะยานขึ้นไปอย่างที่หลายคนคาดหวัง นี่แหละที่ทำให้นักลงทุนอย่างเราอดสงสัยไม่ได้ว่า “แล้วสรุปมันยังไงกันแน่? มาตรการพวกนี้ไม่ได้ผลเหรอ?”
ลองเปรียบง่ายๆ ครับ เหมือนเรากำลังขับรถอยู่บนถนนที่รถติดหนักมาก ปัญหาคือรถเยอะ ถนนแคบ และมีอุปสรรคระหว่างทางมากมาย PBoC ก็เหมือนพยายามจะเปิด “ทางลัด” ให้เรา หรือช่วยให้รถของเรามีเครื่องยนต์ที่ดีขึ้น เติมน้ำมันให้เต็มถัง (คือลดดอกเบี้ย เติมสภาพคล่อง) แต่นี่เป็นเพียงปัจจัย *หนึ่ง* ในการเดินทาง เพราะรถคันอื่นๆ บนถนนใหญ่ก็ยังติดอยู่ และอุปสรรคต่างๆ ก็ยังไม่ได้หายไปทั้งหมด
ทำไมทางลัดนี้ถึงยังพาเราไปได้ไม่เร็วเท่าที่หวัง? ก็เพราะมันยังมี “รถติด” จากปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ รออยู่ เช่น ปัญหาหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเป็นเงาตามหลอน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ยังไม่กลับมาเต็มที่หลังเผชิญความท้าทายมาต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมของ ‘ดัชนีหุ้นจีน’ ได้ทั้งสิ้น
ในสถานการณ์แบบนี้ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญถือเป็นสิ่งสำคัญ อย่างทีม Finnomena Funds ได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจครับ พวกเขามองว่า มาตรการต่างๆ ที่ PBoC ออกมานั้น ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจนและเป็นความพยายามอย่างยิ่งยวดในการ “พยุง” และ “กระตุ้น” เศรษฐกิจ นี่เหมือนเป็นการสร้าง “ฐาน” หรือ “พื้น” ให้กับตลาด เพื่อไม่ให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิม และแสดงถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการแก้ปัญหา (อ้างอิงจากมุมมอง Finnomena Funds)
แต่พวกเขาก็ยังมองว่า การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจจีนอาจต้องใช้เวลา และการลงทุนในตลาดจีนช่วงนี้ยังคงต้องอาศัยความระมัดระวังและกลยุทธ์ที่เหมาะสม คำถามที่ว่า “นักลงทุนอย่างเราควรทำยังไง?” จากมุมมองนี้ อาจตีความได้ว่า แทนที่จะคาดหวังการฟื้นตัวที่รวดเร็วเป็น V-shape ควรพิจารณาลงทุนแบบระยะยาว มองหาบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งจริงๆ หรือมองหาโอกาสในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน หรือการบริโภคภายในประเทศที่ค่อยๆ ฟื้นตัว
แล้วในเชิงปฏิบัติล่ะ เราจะเข้าไปดูโอกาสใน ‘ดัชนีหุ้นจีน’ ได้จากไหน? สำหรับนักลงทุนทั่วไป การลงทุนผ่านกองทุนรวมอาจเป็นทางเลือกที่เข้าถึงง่ายและมีการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถช่วยคัดเลือกหลักทรัพย์และกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการเลือกลงทุนรายตัว ตัวอย่างเช่น อาจมีกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะ (ใส่ชื่อกองทุนตัวอย่าง กองทุนเปิดเคxxxx หรืออื่นๆ ที่เหมาะสมกับข้อมูลที่ได้รับ) ซึ่งมีนโยบายที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ทิศทางตลาดของผู้จัดการกองทุน (ใส่วงเล็บไว้เพื่อแสดงว่าเป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อกองทุนนี้โดยเฉพาะ)

สรุปแล้ว ภาพรวม ‘ดัชนีหุ้นจีน’ ตอนนี้เป็นยังไง? มีทั้งสัญญาณบวกที่ชัดเจนจากการกระตุ้นของ PBoC ที่เหมือนพยายามเปิดทางลัดเพื่อให้การเดินทางสะดวกขึ้น แต่ก็ยังมีอุปสรรคที่เป็น “รถติด” จากปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัยภายนอกขวางอยู่ การลงทุนในตลาดจีนช่วงนี้จึงไม่ใช่การขับรถบนทางด่วนที่โล่งปรอดโปร่ง แต่เป็นการเดินทางที่ต้องอาศัยความเข้าใจในสถานการณ์ วางแผนเส้นทาง (กลยุทธ์การลงทุน) และอาจต้องใช้ความอดทนในการเดินทางสักหน่อย
สำหรับนักลงทุนที่สนใจตลาดจีน การตัดสินใจเข้าลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าเพิ่งมองแค่ข่าวดีเรื่องมาตรการกระตุ้นเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงที่ยังมีอยู่ด้วย สิ่งที่ควรทำคือ การศึกษาข้อมูลของกองทุนหรือหลักทรัพย์ที่จะลงทุนให้ดี ทำความเข้าใจนโยบายของกองทุนนั้นๆ ว่าเน้นลงทุนในส่วนไหนของตลาดจีน หากไม่แน่ใจ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน หรือที่ปรึกษาการลงทุน ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่จะช่วยให้เราวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายทางการเงินของเราครับ
ท้ายที่สุด อยากจะย้ำเตือนว่า การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างตลาดหุ้นจีน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง มาตรการกระตุ้นจาก PBoC เป็นเหมือนแรงหนุน แต่ไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทน การเดินทางในตลาดหุ้นจีนยังคงต้องการสติและความเข้าใจครับ