## หลบภัยตลาดผันผวน: ทำความรู้จัก ‘หุ้น Defensive Stock‘ เกราะป้องกันพอร์ตลงทุนของคุณ
ตลาดหุ้น… หลายคนมองว่าเป็นแหล่งสร้างความมั่งคั่งที่น่าตื่นเต้น โอกาสในการลงทุนที่อาจพลิกชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่อีกด้านหนึ่ง ก็มาพร้อมความผันผวนและความไม่แน่นอนที่อาจทำให้หลายคนรู้สึกหวาดหวั่น ไม่กล้าก้าวเข้ามา หรือแม้แต่นักลงทุนที่มีประสบการณ์เองก็อาจต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่พอร์ตลงทุนถูกกระทบอย่างหนักจากสภาวะตลาดขาลงหรือวิกฤตการณ์ที่ไม่คาดฝัน

อย่างไรก็ตาม ในยามที่เมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนปกคลุมตลาดการลงทุน มีหุ้นประเภทหนึ่งที่นักลงทุนมักนึกถึง และเปรียบเสมือน ‘ที่หลบภัย’ หรือ ‘เกราะป้องกัน’ ให้กับพอร์ตลงทุน นั่นก็คือ **”หุ้น Defensive Stock“** หรือที่อาจได้ยินในชื่ออื่นว่า **”หุ้นเชิงรับ“** หรือ **”หุ้นปลอดภัย“** แต่หุ้นเหล่านี้คืออะไรกันแน่ และทำไมถึงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจเมื่อตลาดไม่เป็นใจ?
**แก่นแท้ของหุ้น Defensive Stock: ธุรกิจที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์**
นิยามง่ายๆ ของหุ้น Defensive Stock คือ หุ้นของบริษัทที่มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจและสร้างผลกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจแบบใดก็ตาม ตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจเติบโต เศรษฐกิจชะลอตัว หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์รุนแรง เหตุผลหลักที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้มีความทนทานสูง คือสินค้าหรือบริการที่นำเสนอ มักเป็นสินค้าหรือบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานของผู้คน ซึ่งแม้เศรษฐกิจจะไม่ดี ผู้คนก็ยังต้องใช้ ยังต้องบริโภค
ลองนึกภาพตามดูครับ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ผู้คนอาจจะลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย หรือชะลอแผนการลงทุนในโครงการใหญ่ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนเราก็ยังคงต้องใช้ไฟฟ้าและน้ำประปา ยังคงต้องทานอาหาร ยังคงต้องเข้าถึงบริการทางการแพทย์เมื่อเจ็บป่วย และยังคงต้องการที่อยู่อาศัย ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นเหล่านี้ เช่น บริษัทสาธารณูปโภค ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม โรงพยาบาล หรือแม้แต่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมพื้นฐาน จึงมักมีกระแสรายได้และผลกำไรที่ค่อนข้างคงที่ ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้หุ้นของบริษัทเหล่านี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มDefensive Stock

**ทำไมต้องมีหุ้น Defensive Stock ในพอร์ตลงทุน ยามตลาดผันผวน?**
คำถามนี้สำคัญมากสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาทางลดความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดเต็มไปด้วยปัจจัยลบ มีเหตุผลสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ที่ทำให้หุ้นกลุ่มนี้น่าพิจารณา:
1. **ลดความผันผวนของพอร์ตลงทุน:** ข้อนี้เป็นคุณสมบัติเด่นที่สุดของหุ้น Defensive Stock ซึ่งสะท้อนผ่านค่าทางสถิติที่เรียกว่า **”ค่าเบต้า (Beta)”** ค่าเบต้าใช้วัดความอ่อนไหวของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม หุ้น Defensive Stock มักจะมีค่าเบต้าต่ำกว่า 1 ซึ่งหมายความว่า หากตลาดโดยรวมปรับตัวขึ้นหรือลง 10% ราคาหุ้น Defensive Stock มักจะปรับตัวขึ้นหรือลงในอัตราที่น้อยกว่า 10% ยกตัวอย่างเช่น หากหุ้นตัวหนึ่งมีค่าเบต้า 0.8 ตามข้อมูลวิเคราะห์ หากตลาดโดยรวมตกลงไป 10% หุ้นตัวนี้อาจจะตกลงเพียง 8% เท่านั้น ทำให้ช่วยจำกัด downside ของพอร์ตได้เป็นอย่างดีในยามที่ตลาดเป็นขาลง
2. **กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ:** หุ้นในกลุ่มDefensive Stock มักเป็นบริษัทที่เติบโตเต็มที่แล้ว มีความสามารถในการสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และไม่จำเป็นต้องนำกำไรส่วนใหญ่ไปลงทุนขยายธุรกิจเพิ่มเติมมากนัก ส่งผลให้มีกระแสเงินสดเหลือเฟือที่จะนำมาจ่ายเป็น **เงินปันผล** ให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอและในอัตราที่น่าพอใจ ในหลายครั้ง อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของหุ้นกลุ่มนี้ยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคารเสียอีก คุณสมบัตินี้ทำให้หุ้น Defensive Stock เป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงให้กับนักลงทุน แม้ในสภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี
3. **ความสามารถในการทนทานต่อวิกฤต:** ในช่วงที่ตลาดหุ้นเผชิญกับวิกฤตการณ์ใหญ่ๆ ที่ทำให้นักลงทุนเกิดความตื่นตระหนกและพากันเทขายหุ้นออกมา หุ้น Defensive Stock มักจะถูกขายออกไปเป็นลำดับท้ายๆ เนื่องจากนักลงทุนยังมองเห็นคุณค่าและความจำเป็นของธุรกิจ ประกอบกับกระแสเงินสดและปันผลที่ยังคงไหลเข้ามา ทำให้ราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะร่วงลงน้อยกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆ เช่น หุ้นเติบโต (Growth Stock) ที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่า คุณสมบัตินี้เองที่ทำให้หุ้น Defensive Stock เปรียบเสมือน “ผ้าห่ม” หรือ “ร่มกันฝน” ที่ช่วยคุ้มครองพอร์ตลงทุนในยามที่สภาพอากาศของตลาดไม่เป็นใจ
**เลือกอย่างไรให้ได้หุ้น Defensive Stock คุณภาพ?**
แม้ชื่อจะบอกว่า “ปลอดภัย” แต่ไม่ใช่หุ้นทุกตัวในกลุ่มธุรกิจพื้นฐานจะเป็นDefensive Stock ที่ดีเสมอไป การคัดเลือกต้องอาศัยหลักเกณฑ์ที่รอบคอบ ดังนี้ครับ
* **ขนาดและความมั่นคง:** โดยทั่วไป ควรพิจารณาบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ ซึ่งมักเป็นบริษัทที่อยู่ในดัชนี SET50 หรือ SET100 เพื่อให้มั่นใจในเสถียรภาพของธุรกิจและความน่าเชื่อถือ
* **ค่าเบต้าต่ำ:** อย่างที่กล่าวไปแล้ว ควรเลือกหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำกว่า 1 เพื่อยืนยันคุณสมบัติการผันผวนน้อยกว่าตลาด
* **ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง:** พิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ควรมีค่าต่ำ โดยไม่ควรเกิน 1 เท่า เพื่อแสดงว่าบริษัทพึ่งพาเงินกู้ไม่สูง และมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ได้ดี
* **ผลประกอบการและปันผลสม่ำเสมอ:** มองหาบริษัทที่มีประวัติการทำกำไรอย่างต่อเนื่องยาวนาน (อย่างน้อย 5-10 ปี) และที่สำคัญคือ มีประวัติการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอมายาวนาน (10 ปีขึ้นไป) สองข้อนี้บ่งชี้ถึงความน่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจและความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น
* **ราคาที่เหมาะสม:** แม้จะเป็นหุ้นที่ดี แต่ก็ต้องซื้อในราคาที่เหมาะสม ไม่ใช่ซื้อในราคาที่แพงเกินไป ควรพิจารณาอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) และอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV Ratio) โดยเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต (เช่น ย้อนหลัง 3 ปี) และค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ซื้อหุ้นที่มีราคาสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน

**ตัวอย่างหุ้น Defensive Stock ในตลาดหุ้นไทย**
ในตลาดหุ้นไทยเองก็มีหุ้นหลายตัวที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนจัดให้อยู่ในกลุ่มDefensive Stock โดยมักมาจากภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับความจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น:
* **กลุ่มสาธารณูปโภค:** เช่น บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (BGRIM, EGCO, GPSC, RATCH) หรือการให้บริการขนส่งมวลชน (BEM, BTS) ซึ่งการใช้บริการเหล่านี้ยังคงมีความต้องการสูง แม้ในยามเศรษฐกิจไม่ดี
* **กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม:** บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง CPALL (ผู้ดำเนินธุรกิจ 7-Eleven) หรือ CPAXT (ธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก) ซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
* **กลุ่มการแพทย์และเวชภัณฑ์:** โรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น BH (โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์) หรือ BDMS (กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ) ซึ่งบริการทางการแพทย์เป็นสิ่งจำเป็นและมีความต้องการอยู่เสมอ
* **กลุ่มโทรคมนาคม:** ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ต อย่าง ADVANC ซึ่งการสื่อสารกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว
**กลยุทธ์การใช้หุ้น Defensive Stock ในพอร์ตลงทุน**
เมื่อเข้าใจคุณสมบัติและวิธีเลือกแล้ว คำถามต่อไปคือ ควรใช้หุ้นกลุ่มนี้อย่างไรในพอร์ตลงทุน?
โดยทั่วไป หุ้น Defensive Stock จะมีบทบาทโดดเด่นที่สุดในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง หรือในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนมักจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 หุ้นในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบด้านราคาค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มเติบโตหรือหุ้นในกลุ่มวัฏจักร (Cyclical Stock) ที่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่า
ในทางกลับกัน เมื่อตลาดเริ่มแสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะตลาดขาขึ้นเต็มตัว นักลงทุนบางส่วนอาจพิจารณา “ปลดล็อก”หุ้น Defensive Stock บางส่วน หรือปรับลดสัดส่วนลง เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตที่มีศักยภาพในการให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในช่วงตลาดขาขึ้น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจปรับพอร์ตนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและมุมมองของนักลงทุนแต่ละคน
**ข้อควรระวัง: Defensive Stock ไม่ได้ไร้ความเสี่ยง 100%**
แม้จะมีคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ดี แต่หุ้น Defensive Stock ก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะไร้ข้อเสียเสียทีเดียว มีข้อควรระวังสำคัญที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ:
* **ผลตอบแทนที่อาจไม่สูงเท่าหุ้นเติบโตในตลาดขาขึ้น:** นี่เป็นจุดที่ต้องยอมรับ หุ้น Defensive Stock เป็นเหมือน “ร่มกันฝน” ที่ช่วยให้คุณไม่เปียกโชกเมื่อเจอพายุ แต่ไม่ใช่ “จรวด” ที่จะพาพอร์ตของคุณทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ในภาวะที่หุ้นเติบโตตัวอื่นๆ วิ่งกันฉิ่ว หุ้นกลุ่มนี้อาจจะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้าง “นุ่มนวล” หรือบางครั้งอาจดูซบเซาไปเลยก็เป็นได้
* **ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ที่ควรระวัง:** แม้จะทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจ แต่หุ้น Defensive Stock ก็ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงเฉพาะตัวอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของรัฐบาลที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ (เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับกลุ่มสาธารณูปโภค) การแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่อาจเข้ามา Disrupt โมเดลธุรกิจในอนาคต
**สรุป: Defensive Stock คือส่วนหนึ่งของพอร์ตลงทุนที่สมดุล**
โดยสรุปแล้ว หุ้น Defensive Stock เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยง เพิ่มความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของตลาดเต็มไปด้วยความผันผวน คุณสมบัติเด่นคือการมีกระแสรายได้และกำไรที่ค่อนข้างคงที่ และความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนยังคงได้รับผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องแม้ในยามที่ตลาดไม่เอื้ออำนวย
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้น Defensive Stock ไม่ได้หมายความว่าพอร์ตของคุณจะปลอดภัย 100% และก็ไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับการลงทุนทั้งหมด การลงทุนที่ดีคือการสร้าง **สมดุล** ในพอร์ตการลงทุน ด้วยการผสมผสานระหว่างหุ้น Defensive Stock เพื่อความมั่นคง กับหุ้นกลุ่มอื่นๆ เช่น หุ้นเติบโต เพื่อโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
หัวใจสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นประเภทใดก็ตาม คือการศึกษาทำความเข้าใจตัวธุรกิจ ปัจจัยพื้นฐาน และสถานการณ์รอบด้านอย่างรอบคอบ ดังคำกล่าวที่ว่า “การลงทุนที่ดีคือการทำการบ้าน” แม้ตลาดหุ้นจะไม่มีอะไรการันตีความปลอดภัยได้ 100% แต่การเลือก “หุ้นที่ถูกต้อง” โดยพิจารณาจากคุณสมบัติและบทบาทที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดและเป้าหมายการลงทุนของคุณ ก็อาจช่วยให้คุณนอนหลับฝันดีได้มากขึ้น ในยามที่ตลาดยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน