## ไขปริศนา “หุ้นทุนคือ” เรื่องการเงินใกล้ตัวที่นักลงทุนควรรู้
ลองจินตนาการภาพเช้าวันเสาร์สบายๆ ที่ร้านกาแฟบรรยากาศดี มีผู้คนนั่งจับกลุ่มคุยกัน หนึ่งในวงสนทนานั้นมีเสียงกระซิบเรื่องการลงทุน บางคนว่าดี บางคนว่าเสี่ยง ต่างคนต่างมีมุมมองของตัวเอง แต่คำถามพื้นฐานที่หลายคนอาจยังคลุมเครือคือ “สรุปแล้วไอ้ที่เราจะเอาเงินไปลงเนี่ย มันคืออะไรกันแน่?” โดยเฉพาะคำว่า “หุ้นทุนคือ” อะไรกันแน่ และมันแตกต่างจากเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ อย่างไร? บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติและลึกซึ้งขึ้น จากมุมมองที่กลั่นกรองมาจากข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึก
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องซับซ้อนสำหรับมือใหม่ แต่จริงๆ แล้วหัวใจหลักของมันคือการที่เราเข้าไปเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของธุรกิจ เหมือนเรากำลังร่วมลงขันกับเจ้าของเพื่อสร้างการเติบโต นี่แหละคือแก่นของคำว่า “หุ้นทุนคือ” การที่เรานำเงินไปแลกกับ “ความเป็นเจ้าของ” ในบริษัท ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน เราก็ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ถือหุ้น” หรือเจ้าของร่วมคนหนึ่ง

เมื่อพูดถึงการเป็นเจ้าของ แน่นอนว่ามันมาพร้อมกับสิทธิ์และผลตอบแทน เมื่อบริษัทมีกำไร ส่วนหนึ่งก็จะถูกแบ่งปันมาให้ผู้ถือหุ้นในรูปของ “เงินปันผล” (Dividend) หรือหากบริษัทเติบโต มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นในตลาดก็จะสูงขึ้น เราก็จะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาขายที่เราเรียกว่า “กำไรส่วนเกินทุน” (Capital Gain) นี่คือเสน่ห์หลักของการลงทุนในหุ้น ที่ให้โอกาสได้รับผลตอบแทนสูงตามศักยภาพของธุรกิจ แต่ในทางกลับกัน ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย เพราะถ้าบริษัทขาดทุน หรือไม่เติบโต ราคาหุ้นก็อาจตกลงได้
แต่เครื่องมือการเงินไม่ได้มีแค่ “หุ้น” เพียงอย่างเดียว ยังมี “พันธบัตร” หรือ “หุ้นกู้” ซึ่งมีความแตกต่างโดยพื้นฐานกับหุ้นอย่างชัดเจน ถ้าหุ้นคือการเป็นเจ้าของ พันธบัตรหรือหุ้นกู้คือการที่เราไป “ให้เงินกู้” แก่บริษัทหรือรัฐบาล พูดง่ายๆ คือเรากำลังทำหน้าที่เป็น “เจ้าหนี้” นั่นเอง เมื่อเราซื้อพันธบัตร เราก็จะได้ดอกเบี้ยจ่ายตามรอบที่กำหนดไว้ และเมื่อครบกำหนดอายุ เราก็จะได้เงินต้นคืนเต็มจำนวน
ความแตกต่างที่สำคัญคือสถานะของเรา พันธบัตรให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่และมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น โดยเฉพาะหากผู้ออกเป็นรัฐบาลหรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มั่นคง แต่ผลตอบแทนก็มักจะต่ำกว่าหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ความเสี่ยงของพันธบัตรคือความเสี่ยงที่ผู้ออกจะผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) แม้ว่าจะต่ำกว่าหุ้น แต่ก็ไม่ใช่ศูนย์เสียทีเดียว ดังที่เคยเกิดความผันผวนในตลาดพันธบัตรไทยในปี 2556 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นเครื่องมือที่มองว่าเสี่ยงต่ำ แต่ก็ยังมีปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบได้

นอกจากหุ้นสามัญที่เราคุ้นเคย ยังมี “หุ้นบุริมสิทธิ” (Preferred Stock) ที่หลายคนอาจสับสน ลองนึกภาพเพื่อนร่วมงานชื่อคุณสมชายที่เข้าใจว่าหุ้นทุกตัวเหมือนกันหมด แต่พอได้ยินเรื่องหุ้นบุริมสิทธิก็งง คุณสมชายอาจไม่รู้ว่าหุ้นบุริมสิทธิมีลักษณะกึ่งๆ ระหว่างหุ้นสามัญและพันธบัตร ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมักจะได้รับเงินปันผลในอัตราที่กำหนดไว้ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ และมีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนเงินทุนก่อนหากบริษัทเลิกกิจการ แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมักไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเหมือนผู้ถือหุ้นสามัญ นี่คือความแตกต่างย่อยๆ ที่สำคัญและแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือทางการเงินมีความหลากหลายและมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เราควรทำความเข้าใจ
แล้วบริษัทต่างๆ จะนำเงินที่เราลงทุนไปทำอะไร? คำตอบคือการนำไปบริหารจัดการและขยายธุรกิจ ซึ่งหนึ่งในวิธีหลักที่บริษัทระดมทุนคือการ “เพิ่มทุน” (Capital Increase) ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับแนวคิดของ “หุ้นทุน” ที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มทุนทำได้หลายวิธี เช่น การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) หรือการเสนอขายหุ้นเพิ่มเติมให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering) หรือเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) การเพิ่มทุนเหล่านี้ทำให้บริษัทมีเงินสดไปลงทุนในโครงการใหม่ๆ ชำระหนี้ หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่ก็มีสิ่งที่นักลงทุนรายย่อยต้องระวัง นั่นคือ “ผลกระทบจากการ dilution” หรือผลกระทบจากหุ้นที่เพิ่มขึ้น ลองนึกภาพว่าเดิมบริษัทมีหุ้นอยู่ 1,000 หุ้น และคุณถืออยู่ 10 หุ้น คิดเป็น 1% ของทั้งหมด แต่ถ้าบริษัทออกหุ้นใหม่เพิ่มอีก 1,000 หุ้น เป็น 2,000 หุ้น ถ้าคุณไม่ซื้อหุ้นเพิ่มสัดส่วนความเป็นเจ้าของของคุณก็จะลดลงเหลือเพียง 10 หุ้น จาก 2,000 หุ้น หรือคิดเป็น 0.5% แม้ว่าจำนวนหุ้นที่คุณถือจะเท่าเดิม แต่สัดส่วนความเป็นเจ้าของของคุณในบริษัทก็ลดลง นี่คือผลกระทบที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยบางครั้งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเมื่อบริษัทที่ตนเองถือหุ้นอยู่ประกาศเพิ่มทุน

การทำความเข้าใจว่า “หุ้นทุนคือ” อะไร และเครื่องมืออื่นๆ อย่างพันธบัตรแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงกระบวนการที่บริษัทใช้ในการบริหารจัดการทุน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนทุกคน จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2565 แสดงให้เห็นถึงขนาดและความสำคัญของตลาดทุนไทยที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การมีความรู้ความเข้าใจจึงเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในการตัดสินใจลงทุน
คุณพิม นักวิเคราะห์จาก FINNOMENA ให้ความเห็นในปี 2566 ว่า ตลาดทุนมีความผันผวนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ การทำความเข้าใจพื้นฐานของเครื่องมือทางการเงินจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ นอกจากนี้ ผู้บริหารทางการเงินของบริษัทข้ามชาติหลายแห่งยังยืนยันว่า การเลือกใช้เครื่องมือระดมทุนที่เหมาะสม ทั้งการออกหุ้น หรือหุ้นกู้ เป็นกลยุทธ์สำคัญในการบริหารโครงสร้างเงินทุนขององค์กร
สำหรับนักลงทุนทั่วไป การเลือกเครื่องมือทางการเงินควรพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ หากรับความเสี่ยงได้สูงและต้องการโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูง การลงทุนในหุ้นสามัญก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยอาจพิจารณาจากข้อมูลการเติบโตและกำไรของบริษัท อย่างไรก็ตาม การกระจายความเสี่ยง (Diversification) เป็นหลักการสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ การลงทุนในหุ้นหลายๆ ตัวในหลากหลายอุตสาหกรรม หรือการแบ่งเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น พันธบัตร ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมได้
หากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ต้องการผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน การลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า โดยเฉพาะพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลหรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงสูง เพราะมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม แม้พันธบัตรโดยทั่วไปจะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ก็มีข้อควรระวัง โดยเฉพาะพันธบัตรที่ออกโดยบริษัทขนาดเล็กหรือที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นได้
⛔ **ข้อควรจำ**: แม้พันธบัตรโดยทั่วไปจะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการถือพันธบัตรจนครบกำหนดอายุและลดความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ ควรเน้นลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่ออกโดยรัฐบาล หรือบริษัทขนาดใหญ่ถึงปานกลางที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) อยู่ในเกณฑ์ที่ดี (Investment Grade) เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการได้รับคืนเงินต้นและดอกเบี้ย
สรุปแล้ว การทำความเข้าใจว่า “หุ้นทุนคือ” การเป็นเจ้าของ พันธบัตรคือการเป็นเจ้าหนี้ รวมถึงการรับรู้ถึงความแตกต่างย่อยๆ เช่น หุ้นบุริมสิทธิ และผลกระทบจากการเพิ่มทุน เป็นรากฐานสำคัญในการเริ่มต้นเส้นทางการลงทุน ไม่มีเครื่องมือใดดีที่สุดสำหรับทุกคน มีแต่เครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ การเริ่มต้นด้วยความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานเหล่านี้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำไปสู่โอกาสในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนในระยะยาว.