## เงินเก็บในบัญชี “หด” ไปไหน? มาไขปริศนาการลงทุนฉบับ “มือใหม่หัดเทรด”

เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีโมเมนต์แบบนี้… นั่งมองยอดเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดอย่างใจเย็น คิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว เงินเก็บของเรา ไม่หายไปไหนแน่ๆ แต่พอมองย้อนกลับไป ผ่านไปหลายปี เงินจำนวนเดิมที่เคยซื้อของได้เท่านี้ วันนี้กลับซื้อได้น้อยลง หรือบางทีก็รู้สึกว่า ตัวเลขมันก็อยู่อย่างนั้นแหละ แต่ทำไมมูลค่ามันถึงดูไม่เพิ่มขึ้นเลยนะ? หรือบางที… ก็แอบรู้สึกเหมือนมัน “หด” ลงไปด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ถอน!

ถ้าคุณกำลังรู้สึกแบบนี้อยู่ ไม่ต้องแปลกใจครับ คุณไม่ได้เป็นคนเดียวแน่ๆ ปริศนานี้มีคำตอบที่เรียบง่ายแต่สำคัญมากซ่อนอยู่ นั่นก็คือ “อำนาจซื้อของเงิน” หรือที่เรามักได้ยินคำว่า “เงินเฟ้อ” นั่นแหละครับ ในขณะที่เราเก็บเงินไว้เฉยๆ ค่าของเงินมันกำลังถูกบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ จากราคาสินค้าและบริการที่ปรับสูงขึ้นทุกปี สมมติว่าปีนี้เงิน 100 บาท ซื้อข้าวได้หนึ่งจาน ปีหน้า 100 บาทอาจจะซื้อได้แค่เกือบๆ จาน หรือต้องเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังยอดเงินนิ่งๆ ในบัญชีออมทรัพย์ครับ

แล้วทางออกอยู่ตรงไหนล่ะ? คำตอบที่นักการเงินทั่วโลกแนะนำก็คือ “การลงทุน” ฟังดูแล้วหลายคนอาจจะเริ่มใจแป้ว รู้สึกว่า โอโห คำนี้ฟังดูใหญ่จัง เป็นเรื่องของคนมีเงินเยอะๆ รึเปล่า? ต้องมีความรู้ซับซ้อนมากๆ ไหม? ยอมรับตามตรงว่าตอนแรกที่เริ่มสนใจเรื่องนี้ เราเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันครับ หน้าตาดูแข็งๆ ไปหมดตอนต้องไปเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ครั้งแรก ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี เหมือนเป็นการเข้าสู่สนามใหม่ที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

แต่จริงๆ แล้ว การลงทุนมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นครับ มันคือการนำเงินที่เรามีอยู่ไป “ทำงาน” แทนเรา ให้มันงอกเงยขึ้นมา เพื่อเอาชนะภาวะเงินเฟ้อ และสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ซึ่งการลงทุนก็มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ได้มีแค่หุ้นอย่างเดียว แต่ที่มักจะถูกพูดถึงและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนทั่วไปก็คือ ตลาดหุ้นและกองทุนรวมนี่แหละครับ

สำหรับ “มือใหม่หัดเทรด” อย่างเราๆ ท่านๆ ที่กำลังสนใจ ก้าวแรกอาจจะดูทุลักทุเลหน่อย แต่สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจพื้นฐานและมุมมองจากข้อมูลต่างๆ ครับ หากเรามองย้อนกลับไปที่ภาพรวมของตลาดทุนไทย โดยอ้างอิงจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เราจะเห็นว่าในระยะยาว ดัชนี SET Index ซึ่งสะท้อนภาพรวมการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น แม้จะมีช่วงที่ผันผวน ปรับฐาน หรือเจอวิกฤตบ้างก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น หากมองย้อนไปในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา (โดยอ้างอิงข้อมูลสถิติในอดีต ซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีอนาคตนะครับ) เราจะเห็นว่าการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก มีโอกาสที่จะช่วยให้เงินของเราเติบโตได้เร็วกว่าภาวะเงินเฟ้อมาก ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินเราเพิ่มขึ้น

แน่นอนว่าเส้นทางการลงทุนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป มันมีวันที่ตลาดเป็นสีเขียวสดใส ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ แต่ก็มีวันที่ทุกอย่างกลายเป็นสีแดงฉานไปหมด! ในวันที่เห็นพอร์ตลงทุนติดลบ ตัวเลขแดงๆ เต็มไปหมดนี่แหละครับ คือบททดสอบสำคัญของ “มือใหม่หัดเทรด” หลายคนเห็นแล้วใจไม่ดี มือไม้สั่น อยากจะกดขายทุกอย่างทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่นี่คือจุดที่เราต้องใช้สติและทำความเข้าใจธรรมชาติของตลาดว่า ความผันผวนเป็นเรื่องปกติ การลงทุนคือการเดินทางระยะยาว ไม่ใช่การวิ่ง sprint ระยะสั้น การตื่นตระหนกขายตอนตลาดลงหนักๆ มักไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดครับ ต้องบังคับมือตัวเองไว้ให้ได้!

คำถามต่อมาคือ แล้วจะเริ่มต้นอย่างไรดีในฐานะ “มือใหม่หัดเทรด”? อันดับแรกเลยคือเรื่องของ “ความรู้” ครับ ไม่ต้องกลัวว่าต้องเรียนจบปริญญาเอกด้านการเงินถึงจะลงทุนได้ ทุกวันนี้แหล่งความรู้มีเยอะมาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเองก็มีแหล่งเรียนรู้ดีๆ สำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยเฉพาะมือใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอร์สเรียนฟรีด้วยซ้ำไปครับ เริ่มจากการศึกษาพื้นฐานว่าการลงทุนคืออะไร มีสินทรัพย์อะไรให้ลงทุนบ้าง แต่ละอย่างมีความเสี่ยงและผลตอบแทนประมาณไหน รวมถึงกลไกการทำงานของตลาด

หลังจากมีความรู้พื้นฐานแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ “ลงมือทำ” ครับ อาจจะเริ่มจากเงินจำนวนไม่มากก่อนเพื่อทดลองเรียนรู้จากประสบการณ์จริง การเริ่มต้นเล็กๆ จะช่วยลดความกดดันและความเสี่ยงลงได้ และทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศการลงทุนจริงๆ ทั้งช่วงที่ตลาดดีและช่วงที่ตลาดไม่ดี การเลือกเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่เชื่อถือได้ มีเครื่องมือที่ใช้งานง่าย และมีบริการสนับสนุนที่ดี ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเริ่มต้นที่ดีครับ

มุมมองที่ประมวลได้จากข้อมูลเชิงลึกชี้ให้เห็นว่า จุดสำคัญของการเริ่มต้นสำหรับมือใหม่คือการ “ทำความเข้าใจ” มากกว่าการ “รีบทำกำไร” ครับ ตลาดทุนเปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ ที่มีทั้งช่วงที่แดดออกอากาศสดใส และบางวันก็มีฝนตกทำให้พื้นเปียกชื้น ลื่นล้มได้ การลงทุนก็เช่นกันครับ มันมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้เช่นกัน ซึ่งความเสี่ยงนี้เองที่ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากต้องแลกมาด้วย การทำความเข้าใจความเสี่ยง ยอมรับความผันผวน และเตรียมพร้อมรับมือกับมัน คือหัวใจสำคัญ

แทนที่จะมองว่า “คุณอาจสูญเสียเงินทั้งหมด” ซึ่งฟังดูน่ากลัวเกินไป ลองเปลี่ยนมุมมองเป็นว่า “นี่คือสนามเด็กเล่นที่บางวันก็เปียกชื้นนะจ๊ะ” นั่นหมายความว่าเราต้องระมัดระวัง เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เรียนรู้วิธีการทรงตัวไม่ให้ล้ม หรือล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ได้ การกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท (Asset Allocation) ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลงทุนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ “มือใหม่หัดเทรด” ควรศึกษาเพิ่มเติมเช่นกัน

สรุปแล้ว การที่เงินเก็บในบัญชีดูเหมือนจะ “หด” ไป ไม่ได้เป็นเพราะมันหายไปไหนครับ แต่เป็นเพราะอำนาจซื้อของมันถูกลดทอนลงจากภาวะเงินเฟ้อ การลงทุนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เงินของเราเติบโต เอาชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว แม้ว่าคำว่า “มือใหม่หัดเทรด” จะฟังดูท้าทายในตอนแรก แต่ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง การเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการยอมรับธรรมชาติของตลาด ที่มีทั้งขึ้นและลง มีความผันผวนและความเสี่ยง แต่ก็มีโอกาสให้เงินทำงานแทนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น อย่าปล่อยให้เงินนอนนิ่งๆ ให้เงินเฟ้อกัดกินไปเรื่อยๆ เลยครับ การเดินทางในโลกของการลงทุนสำหรับ “มือใหม่หัดเทรด” อาจจะต้องเผชิญกับความสับสนบ้าง ความกลัวบ้างในตอนแรก แต่เชื่อเถอะว่า การก้าวออกมาจาก Comfort Zone ของบัญชีออมทรัพย์ แล้วมาทำความรู้จักกับเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโต จะเป็นการติดอาวุธทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับตัวคุณเอง พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้นครับ เริ่มต้นเรียนรู้ เริ่มต้นก้าวเล็กๆ วันนี้ เพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีกว่าเดิมกันเถอะ!