## เมื่อ “มังกร” พลิกเกม: โอกาสทองของหุ้นเทคโนโลยีจีนในปี 2568 ที่นักลงทุนจับตา

คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนถึงกลับมาเป็นที่พูดถึงและน่าจับตามองอย่างมากอีกครั้งในปี 2568 นี้? เรื่องราวนี้ไม่ใช่แค่ประเด็นร้อนในวงการนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นกระแสที่ส่งผลกระทบและอาจสร้างโอกาสให้กับคนทั่วไปที่สนใจเรื่องการลงทุนอย่างคุณและผมได้เช่นกัน

หลังจากที่ตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น หรือความกังวลจากความตึงเครียดระหว่างประเทศ แต่ในปีนี้ ดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป และมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับการลงทุนในแดนมังกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่

**พลัง AI สัญชาติจีน: DeepSeek AI จุดประกายใหม่**

หนึ่งในพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามและสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดอย่างมาก คือความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยเฉพาะการปรากฏตัวของ “DeepSeek AI” เทคโนโลยี AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทจีน ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูง และที่สำคัญกว่านั้น คือมาพร้อมกับ “ต้นทุน” ในการพัฒนาและการใช้งานที่ต่ำกว่าโมเดล AI ชั้นนำจากฝั่งตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งที่ทำให้ DeepSeek AI โดดเด่นและเป็น Game Changer ในวงการ ไม่ใช่เพียงแค่ความสามารถในการประมวลผลหรือสร้างสรรค์เทียบเคียงกับโมเดลระดับโลกอย่าง Meta Llama 3 ของสหรัฐฯ ได้ แต่คือ “ความได้เปรียบด้านต้นทุน” ที่เป็นแต้มต่อสำคัญ ข้อมูลเชิงลึกชี้ให้เห็นว่า ต้นทุนในการฝึกโมเดล DeepSeek-v2 นั้นต่ำกว่า Meta Llama 3 ถึง 70% ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขทางเทคนิคในห้องแล็บเท่านั้น แต่หมายถึงความสามารถในการแข่งขันระดับโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้บริษัทเทคโนโลยีจีนสามารถนำ AI ไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ได้ในวงกว้างมากขึ้น ด้วยต้นทุนที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่า จีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญและมีศักยภาพในการท้าทายเจ้าตลาดเดิมในสมรภูมิ AI ระดับโลกอย่างแท้จริง

**ภาครัฐหนุนเต็มที่: เทคโนโลยีคืออนาคต**

ความสำเร็จของภาคเทคโนโลยีจีนจะเกิดขึ้นได้ยาก หากปราศจากการสนับสนุนอย่างแข็งขันและเป็นระบบจากภาครัฐบาลกลางในกรุงปักกิ่ง ผู้นำจีนมองว่า เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI และนวัตกรรม เป็นหัวใจสำคัญและเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ยุคใหม่ที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

นโยบายต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเอื้ออำนวยและกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา หรือแม้กระทั่งการออกมาตรการเพื่อพยุงและกระตุ้นตลาดทุนโดยรวม ซึ่งหนึ่งในมาตรการที่เห็นผลชัดเจนและส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมา คือการลดภาษีการซื้อขายหุ้นในปี 2566 การสนับสนุนจากภาครัฐในรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ ไม่เพียงแต่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน แต่ยังเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีโมเมนตัมที่ดีและกลับมาอยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง

**”Terrific Ten”: กลุ่มดาวเด่นแห่งแดนมังกร**

เมื่อพูดถึงหุ้นเทคโนโลยีจีน คงหนีไม่พ้นการกล่าวถึงกลุ่มบริษัทชั้นนำที่เป็นเหมือนหัวหอกของอุตสาหกรรม ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนขนานนามว่าเป็นกลุ่ม “Terrific Ten” หรือ “10 ยอดเยี่ยม” บริษัทเหล่านี้ประกอบด้วยชื่อที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ, Tencent เจ้าพ่อโซเชียลมีเดียและเกม, BYD ผู้นำยานยนต์ไฟฟ้า, Huawei ผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม, CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลก, Xiaomi ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ IoT, และ Meituan แพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารและชีวิตประจำวัน

บริษัทในกลุ่ม Terrific Ten นี้ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมย่อยในกลุ่มเทคโนโลยี และถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มีการลงทุนอย่างหนักในการวิจัยและพัฒนา และพร้อมที่จะช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดในระดับโลก บริษัทเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพเทียบเคียงกับกลุ่ม “Magnificent Seven” หรือ “7 ผู้ยิ่งใหญ่” ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบด้วยบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Apple, Microsoft, Google (Alphabet), Amazon, Nvidia, Meta Platforms, และ Tesla การมีกลุ่มบริษัทชั้นนำที่แข็งแกร่งและมีความหลากหลายเช่นนี้ ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของตลาดหุ้นเทคโนโลยีจีน

**มูลค่าที่น่าสนใจ: เมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ**

อีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้นักลงทุนหันกลับมามองหุ้นเทคโนโลยีจีนด้วยความสนใจคือ “มูลค่า” ที่ยังดูน่าดึงดูดใจ เมื่อเทียบกับหุ้นเทคโนโลยีฝั่งสหรัฐอเมริกาที่หลายตัวราคาปรับตัวขึ้นไปสูงมากในช่วงที่ผ่านมา

ลองพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินที่นักลงทุนนิยมใช้กันอย่าง Forward P/E (อัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า) ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนยินดีจ่ายกี่เท่าของกำไรที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตสำหรับหุ้นตัวนั้นๆ ดัชนี Hang Seng Tech ซึ่งเป็นดัชนีที่ติดตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำของจีนในตลาดหุ้นฮ่องกง มีอัตราส่วน Forward P/E อยู่ที่ประมาณ 15.5 เท่า ในขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเติบโตสูงของสหรัฐฯ มี Forward P/E สูงกว่าที่ 24.5 เท่า

ตัวเลขนี้บ่งชี้ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว หุ้นเทคโนโลยีจีนมี “ส่วนลด” หรือมีมูลค่าที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ ในมุมของกำไรที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต ซึ่งอาจหมายถึง “โอกาส” ที่ราคาหุ้นจีนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มากกว่า (Capital Gain) หากบริษัทสามารถทำกำไรได้ตามที่คาดการณ์ไว้ และตลาดกลับมาให้มูลค่า (Valuation) ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบ P/E เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การตัดสินใจลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยเสมอ เช่น แนวโน้มการเติบโตของกำไรที่แท้จริง สุขภาพทางการเงินของบริษัท และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโดยรวม

**โอกาสการลงทุนสำหรับนักลงทุนไทย**

สำหรับนักลงทุนไทยที่มองเห็นโอกาสในตลาดหุ้นเทคโนโลยีจีน ก็มีช่องทางที่หลากหลายและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่นักลงทุนสถาบันอีกต่อไป

วิธีแรกที่ได้รับความนิยมและสะดวกสบายคือการลงทุนผ่าน DR (ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย) ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นไทย DR เหล่านี้ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์ และอ้างอิงกับหุ้นจีนชั้นนำ ทำให้เราสามารถซื้อขายหุ้นจีนได้เหมือนกับการซื้อขายหุ้นไทยทั่วไปผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่เรามีอยู่แล้ว

อีกทางเลือกคือการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นจีนโดยเฉพาะ ปัจจุบันมีกองทุนรวมหลายกองที่ลงทุนในหุ้นจีน ทั้งแบบที่ลงทุนโดยตรง หรือลงทุนผ่าน ETF (Exchange Traded Fund) ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น iShares MSCI China ETF หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนโดยเฉพาะ กองทุนเหล่านี้บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ มีการกระจายความเสี่ยงในหุ้นหลายๆ ตัว และเป็นทางเลือกที่สะดวกสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามตลาดรายตัวด้วยตนเอง

**ปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังและข้อควรระวังในการลงทุน**

แม้จะมีปัจจัยบวกหลายประการที่สนับสนุนการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีจีนในปี 2568 นี้ แต่การลงทุนในตลาดนี้ก็ยังคงมีความท้าทายและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องตระหนักและเฝ้าระวัง

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญประการแรกคือ “ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ” ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและอาจกลับมาสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้ทุกเมื่อ การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าหรือข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีจากฝั่งสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทเทคโนโลยีจีน

ประการที่สองคือ “การเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำกับดูแลภายในประเทศจีน” แม้ว่าภาครัฐจะให้การสนับสนุน แต่ในอดีตก็เคยมีมาตรการกำกับดูแลที่ส่งผลกระทบต่อบางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามข่าวสารและแนวโน้มการออกนโยบายของรัฐบาลจีนอย่างใกล้ชิด

การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีนจึงเป็นโอกาสที่มาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ นักลงทุนไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยพิจารณาจากปัจจัยบวกเพียงอย่างเดียว แต่ควร “ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน” ทั้งในเชิงเศรษฐกิจมหภาค แนวโน้มอุตสาหกรรม และงบการเงินของบริษัทที่จะลงทุน ประเมิน “ความเสี่ยงที่ตนเองสามารถรับได้” และที่สำคัญคือ “กระจายความเสี่ยง” ในพอร์ตการลงทุน ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป การติดตามข่าวสารและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลและทันการณ์

**สรุป**

ตลาดหุ้นเทคโนโลยีจีนในปี 2568 กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยแรงหนุนสำคัญจากความก้าวหน้าทาง AI โดยเฉพาะ DeepSeek AI ที่มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนอย่างชัดเจน การสนับสนุนอย่างแข็งขันจากภาครัฐบาลที่มองเทคโนโลยีเป็นอนาคต และมูลค่าของหุ้นที่ยังดูน่าดึงดูดใจเมื่อเทียบกับหุ้นเทคโนโลยีในตลาดพัฒนาแล้ว ทำให้หุ้นกลุ่มนี้มีศักยภาพในการเติบโตสูงและเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงและแสวงหาผลตอบแทนในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการลงทุนทุกประเภท การลงทุนในแดนมังกรยุคใหม่นี้ย่อมมีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งจากปัจจัยภายนอกอย่างความขัดแย้งระหว่างประเทศ และปัจจัยภายในอย่างการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาดจึงต้องใช้ความเข้าใจในแนวโน้ม ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีสติและรอบคอบเสมอ

*ข้อควรระวัง: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน*