## ถอดรหัสตลาดหุ้นไทย ปี 2567: โอกาสและความท้าทายที่นักลงทุนควรรู้

การลงทุนในตลาดหุ้นมักถูกมองว่าเป็นเรื่องซับซ้อนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่หากเราทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนตลาด รวมถึงมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ เราก็จะสามารถมองเห็นภาพรวมและโอกาสที่ซ่อนอยู่ได้ สำหรับตลาดหุ้นไทยในปี พ.ศ. 2567 นี้ ก็เป็นอีกช่วงเวลาที่น่าจับตาอย่างยิ่ง หลังผ่านปี 2566 ที่ค่อนข้างผันผวนและท้าทาย บทความนี้จะพาไปสำรวจทิศทาง แนวโน้ม และกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้ โดยอ้างอิงข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกจากหลากหลายแหล่ง

ก้าวเข้าสู่ปี 2567 ตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะยังคงมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่อาจจะมีความผันผวนอยู่บ้างในบางช่วง โดยเฉพาะในช่วงต้นปี แต่ในภาพรวมก็เริ่มมีสัญญาณบวกที่พอจะสร้างความหวังให้กับนักลงทุนได้ ปัจจัยภายในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญประการหนึ่งที่เข้ามามีบทบาท ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องสภาพคล่องที่คาดว่าจะดีขึ้น จากเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนขนาดใหญ่อย่างกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งมีวงเงินจำนวนมากถึง 1.5 แสนล้านบาท การที่เงินจำนวนนี้เข้าสู่ระบบ ย่อมส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม สร้างแรงหนุนในเชิงบวก หรือที่เรียกว่า Bullish Sentiment ให้กลับคืนมา

นอกจากสภาพคล่องแล้ว นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐบาลก็เป็นอีกปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินดิจิทัลที่มีวงเงินสูงถึง 5 แสนล้านบาท แม้รายละเอียดและช่วงเวลาการใช้จ่ายอาจยังมีความชัดเจนไม่เต็มที่ แต่โดยหลักการแล้ว นโยบายเหล่านี้ย่อมเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ (Domestic play)

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุน แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะในมิติของมูลค่าตลาด (Valuation) ที่ดูเหมือนจะปรับตัวสูงขึ้น จากการคำนวณอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) กลับลดลง สภาวะเช่นนี้อาจทำให้การปรับตัวขึ้นของดัชนีโดยรวมถูกจำกัดไว้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงมองว่าแนวต้านสำคัญของดัชนี SET Index อาจอยู่ที่ระดับ 1480 และ 1520 จุด ตามลำดับ ในขณะที่แนวรับสำคัญที่ต้องจับตาอยู่ที่ 1400 และ 1370 จุด หากดัชนีอ่อนตัวลงมา

แม้ว่าตลาดจะยังคงมีความไม่แน่นอน แต่ก็มีสัญญาณเชิงบวกที่น่าสนใจเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา นั่นคือการกลับมาของกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ที่เริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนธันวาคม 2566 ด้วยมูลค่าเกือบ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปรากฏการณ์ “January Effect” หรือแรงซื้อที่มักเกิดขึ้นในช่วงต้นปี อันบ่งชี้ว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาให้ความสนใจตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากการขายสุทธิออกไปค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา

นอกจากนโยบายการคลังของรัฐบาลแล้ว นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หาก กนง. มีท่าทีที่ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังคงต้องการมาตรการสนับสนุน และส่งสัญญาณไปในทิศทางผ่อนคลายนโยบายการเงิน (Dovish Stance) ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต ย่อมจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ และเป็นแรงหนุนให้หุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย รวมถึงกลุ่ม Defensive ที่มีความผันผวนน้อยกว่า

มาตรการอื่นๆ ของรัฐบาลก็มีส่วนในการสร้างผลกระทบต่อบางกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งถือเป็น Upside Surprise หรือปัจจัยบวกที่อาจคาดไม่ถึง และมีส่วนช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อให้กับผู้บริโภคในระดับฐานราก ซึ่งจะส่งผลดีโดยตรงต่อหุ้นในบางกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลหรือสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อย่างเช่น AEONTS และ KTC ที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นนี้

ภายใต้สภาวะตลาดที่อาจจะยังคงมีความผันผวนและดัชนีโดยรวมยังทรงตัว การใช้กลยุทธ์ “Stock Selection” หรือการเลือกหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีแนวโน้มการเติบโตที่ชัดเจน จึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในปี 2567 นี้ ข้อมูลจากบทวิเคราะห์หลายแห่งแนะนำให้เน้นลงทุนใน “หุ้นกลุ่มอิงการบริโภคภายในประเทศ” หรือ Domestic Cyclicals ซึ่งรวมถึงหุ้นในกลุ่มค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงินที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาล

หุ้นที่น่าจับตาและถูกแนะนำจากหลายสำนักในปี 2567 กระจายอยู่ในหลายกลุ่มตามธีมการลงทุนที่แตกต่างกันไป เช่น กลุ่มที่ได้อานิสงส์จากช่วง High Season หรือฤดูกาลที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูง ได้แก่ HMPRO และ ERW กลุ่มหุ้น Domestic play ที่มีประเด็นเรื่องเงินปันผลที่สูงและมีมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ที่ยังไม่แพงจนเกินไป ได้แก่ AP และ ICHI นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (IFF) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่ให้ Dividend Yield สูง ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เช่น DIF และ CPNREIT ขณะเดียวกัน หุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่การคำนวณในดัชนี SET50 ก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ เช่น COM7 และ SAWAD รวมถึงหุ้นที่ได้รับผลดีโดยตรงจากอำนาจการซื้อที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อย่างที่กล่าวไปแล้วคือ AEONTS และ KTC

หากมองจากข้อมูลผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 สะท้อนว่า ดัชนี SET Index ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ติดลบอยู่ที่ 3.58% ส่วนดัชนี SET100 ติดลบ 1.52% YTD แสดงให้เห็นว่าปี 2566 เป็นปีที่ท้าทายสำหรับนักลงทุน แต่ในความท้าทายก็ยังมีหุ้นที่โดดเด่น โดยหุ้นที่ทำผลงานดีที่สุดในกลุ่ม SET100 ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ ปลายเดือน ธ.ค. 2566) ได้แก่ TRUE, DELTA, VGI, PRM, BA, STGT, GULF, INTUCH, AAV, และ ADVANC ซึ่งการศึกษาปัจจัยความสำเร็จของหุ้นเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์ในการมองหาหุ้นที่มีศักยภาพในปีนี้

การใช้ตัวเลขและอัตราส่วนทางการเงินในการคัดเลือกหุ้นก็ยังคงมีความสำคัญ ตัวอย่างเช่น การใช้อัตราส่วน P/E ในการมองหา “หุ้นคุณค่า” (Value Stocks) หรือหุ้นที่อาจมีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หุ้นในกลุ่ม SET100 ที่มี P/E ต่ำกว่า 10 ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรยังไม่สูงนัก และน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว ได้แก่ TOP, BBL, KTB, KBANK, PTTEP, SCB, PTT และ TTB ซึ่งนักลงทุนสามารถนำข้อมูลนี้ไปศึกษาต่อได้

มุมมองจากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งก็ให้คำแนะนำที่น่าสนใจ โดย บล. พาย มองว่าหุ้นอย่าง CPALL, AOT และ TIDLOR น่าสนใจ โดยชี้ให้เห็นถึงโอกาสการปรับตัวที่ดีขึ้นจากการเติบโตของผลประกอบการและปัจจัยบวกเฉพาะตัวของแต่ละหุ้น ในขณะที่อีกสำนักหนึ่งแนะนำหุ้นประเภทรักษามูลค่าที่เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงช่วงที่อาจมีดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง คือกลุ่ม Defensive และ Domestic play โดยยกตัวอย่างเช่น GPSC, CPALL และ THCOM ส่วน บล. ยูโอบี เคย์เฮียน เสนอให้เน้นลงทุนในหุ้น MAJOR, PTT และ TU โดยมองว่าน่าสนใจในเรื่องของการเติบโตของรายได้ ระดับหนี้ที่ยังต่ำ และได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนตัว

หากมองเจาะจงไปที่กลยุทธ์การลงทุนสำหรับช่วงต้นปี 2567 บทวิเคราะห์บางส่วนแนะนำให้เน้นลงทุนตาม 3 ธีมหลัก ได้แก่ หุ้นปันผลสูงที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและน่าสนใจในภาวะที่ตลาดอาจยังผันผวน เช่น TISCO, INTUCH, SIRI และ MAJOR กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการลดหย่อนภาษีอย่าง “EASY E-RECEIPT” เช่น COM7, PLANB, CPN, CRC และ SCGP ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการบริการ และสุดท้ายคือกลุ่มหุ้นที่มี Free Float สูง ซึ่งหมายถึงหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายดี และมีความเสี่ยงที่ราคาจะถูกควบคุมโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต่ำ เช่น KBANK, TISCO, SIRI, CPN, WHA และ BH

แม้ปี 2567 จะมีความท้าทายในหลายด้าน แต่การมองไปยังปี 2568 นักวิเคราะห์บางส่วนยังคงเห็น “แสงสว่าง” และโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หุ้นที่ถูกคัดเลือกให้เป็น Top pick สำหรับปี 2568 โดยผู้เชี่ยวชาญหลายท่านนั้น มีปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มธุรกิจที่น่าสนใจ เช่น SPRC ซึ่งมีความคาดหวังเชิงบวกจากการเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่นน้ำมัน และราคาหุ้นที่มองว่ายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง BTG ที่โดดเด่นด้านความแข็งแกร่งในธุรกิจอาหารครบวงจรและการขยายตลาดส่งออก IVL ผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกในกลุ่ม PET และการรีไซเคิล ที่พื้นฐานธุรกิจได้รับการสนับสนุนจากกระแสความต้องการที่กำลังเติบโต และ CPF ที่ได้รับการมองเห็นว่าเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจร ได้ประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นและราคาสินค้าปศุสัตว์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี

สรุปแล้ว ตลาดหุ้นไทยในปี 2567 แม้จะยังคงมีลักษณะที่ผันผวนสูง แต่ก็เป็นปีที่เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับนักลงทุนที่รู้จักเลือกและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม หลังปี 2566 ที่ค่อนข้างลำบาก ปี 2567 เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากปัจจัยภายในอย่างเม็ดเงินกองทุนและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะยังมีข้อจำกัดด้าน Valuation และแนวต้านทางเทคนิคที่ต้องจับตา

กลยุทธ์สำคัญคือการเน้นการเลือกหุ้นรายตัว (Stock Selection) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Cyclicals) เช่น ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และบริการทางการเงิน ซึ่งคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการรัฐและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การกระจายความเสี่ยงโดยผสมผสานการลงทุนในหุ้นที่ให้ปันผลสูง หุ้นที่มีสภาพคล่องดี (Free Float สูง) และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐต่างๆ ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจ

การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ยังคงมีความน่าดึงดูดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ นักลงทุนจะต้องมีการเตรียมความพร้อม ทั้งในด้านความรู้ความเข้าใจ การประเมินสภาพคล่องของตนเอง กำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน และพร้อมที่จะปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

จำไว้เสมอว่า การตัดสินใจลงทุนควรมาจากข้อมูลและการวิเคราะห์ที่รอบคอบ ไม่ใช่เพียงแค่ข่าวลือ หรือการเก็งกำไรระยะสั้น การค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเมื่อจำเป็น จะช่วยให้ท่านวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น เพราะความรู้ความเข้าใจคือรากฐานสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนในตลาดหุ้น.