## มองหุ้นเทคไทย: โอกาสในกระแส Digital Transformation ที่ต้องอาศัย “ความอดทน”

โลกกำลังหมุนเร็วขึ้นด้วยพลังของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงแนวโน้ม แต่คือกระแสหลักที่กำลังกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและสังคมไปทั่วโลก ประเทศไทยเองก็ไม่ตกขบวน ความสนใจในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของไทยบนตลาดหลักทรัพย์จึงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังข่าวดีด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การก้าวเข้าสู่สนามลงทุนในกลุ่มนี้ ไม่ใช่เพียงการมองหาหุ้น “ร้อน” ที่วิ่งแรง แต่ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึก และที่สำคัญคือ “ความอดทน” ในการรอคอยผลตอบแทนระยะยาว

**ทำความเข้าใจภูมิทัศน์หุ้นเทคไทย**

เมื่อพูดถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทย เราสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้อย่างชัดเจน กลุ่มแรกคือ **ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)** ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งยานยนต์ อุปกรณ์สื่อสาร และเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนอีกกลุ่มคือ **เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology – ICT)** ซึ่งเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ด้านการสื่อสารและบริการดิจิทัลต่างๆ

ปัจจุบัน (ข้อมูล ก.ค. 2566) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีบริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีรวม 42 บริษัท คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) สูงถึงประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนการเติบโตที่น่าจับตา เพราะเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มี Market Cap อยู่ที่ 2.7 ล้านล้านบาท

หากเจาะลึกไปในกลุ่ม Electronics ที่มี 24 บริษัท และมีส่วนแบ่งถึง 57.4% ของ Market Cap กลุ่มเทคใน SET เราจะพบกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง DELTA ที่มี Market Cap โดดเด่นที่สุดคิดเป็น 51.8% ของกลุ่มตามลำดับ ตามมาด้วย HANA และ KCE ในขณะที่กลุ่ม ICT ซึ่งมี 18 บริษัท และคิดเป็น 42.5% ของ Market Cap กลุ่มเทคใน SET ก็มีบริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่อย่าง ADVANC, INTUCH และ TRUE เป็นผู้นำ และเมื่อรวม Market Cap ของ DELTA, ADVANC, INTUCH และ TRUE เข้าด้วยกัน จะพบว่าสี่บริษัทนี้มีสัดส่วนรวมกันถึง 81.8% ของ Market Cap หุ้นกลุ่มเทคทั้งหมดใน SET เลยทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวของ Market Cap ในบริษัทขนาดใหญ่

ส่วนในตลาดรองอย่าง mai นั้น มีบริษัทเทคอยู่ 21 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี ซึ่งมี Market Cap รวมคิดเป็น 58.3% ของ Market Cap ในกลุ่มเทคของ mai

**มองทะลุผลประกอบการและกลยุทธ์บริษัท**

เพื่อทำความเข้าใจสุขภาพของอุตสาหกรรมนี้ในระยะใกล้ เราต้องพิจารณาถึงผลประกอบการล่าสุด โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของปี 2567 สำหรับบริษัทในกลุ่มเทคตลาด mai แม้รายได้รวมจะเติบโตขึ้น แต่ภาพรวมกำไรสุทธิกลับค่อนข้างทรงตัว อย่างไรก็ตาม มีบริษัทเด่นๆ ที่โชว์ฟอร์มการเติบโตของกำไรได้อย่างน่าสนใจ เช่น BBIK ที่กำไรเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน, NAT เติบโตโดดเด่นถึง 271% และ SECURE เพิ่มขึ้น 50% YoY โดยเฉพาะ NAT ที่มีอัตราการเติบโตของรายได้สูงถึง 113% YoY ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดในกลุ่ม ปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้ส่วนหนึ่งมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มกระเตื้อง การท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก และการส่งออกที่มีสัญญาณบวก

นอกจากผลประกอบการที่สะท้อนภาพรวม บริษัทต่างๆ ในกลุ่มนี้ก็มีกลยุทธ์ที่น่าติดตาม เพื่อรักษาการเติบโตและขยายฐานลูกค้า ตัวอย่างเช่น BBIK ที่มีงานในมือ (Backlog) สูงถึง 960 ล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามามากกว่า 510 ล้านบาทภายในปี 2567 นี้ ซึ่งทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ทั้งในด้านรายได้และกำไรได้ในปีนี้

เช่นเดียวกับ NAT ที่ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 2567 ไม่ต่ำกว่า 30% โดยมี Backlog อยู่ที่ 479.54 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ได้ถึง 80-90% ภายในปีนี้ นอกจากนี้ SECURE ก็คาดการณ์การเติบโตของรายได้ไว้ที่ 15-20% สะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทเหล่านี้ในการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจ และบางส่วนยังขยายขอบเขตไปยังธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสาธารณูปโภคและเครื่องจักรโรงงาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต

**บทบาทภาครัฐกับการหนุนอุตสาหกรรม**

ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญอย่างหนึ่งต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีคือวิสัยทัศน์และนโยบายจากภาครัฐบาลไทย ซึ่งมองเห็นโอกาสในการยกระดับประเทศให้เป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีระดับโลก โดยเฉพาะการมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และส่งเสริมการพัฒนาชิ้นส่วนสำคัญขึ้นภายในประเทศ

รัฐบาลมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต IC (Integrated Circuit) โดยเฉพาะด้าน Power Electronics Module ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับรถ EV ความพยายามนี้สอดคล้องกับการลงทุนร่วมกันระหว่างบริษัทไทยขนาดใหญ่อย่าง HANA และ PTT ซึ่งเป็นการผสานจุดแข็งระหว่างผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และบริษัทพลังงาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ของโลก

**โอกาสและความท้าทายในเส้นทางลงทุน**

แน่นอนว่าเส้นทางลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ย่อมมีทั้งปัจจัยบวกที่สนับสนุน และปัจจัยลบที่ต้องพิจารณา

**ปัจจัยบวก:**
ประการแรกคือ **ศักยภาพการเติบโตในระยะยาวที่สูงมาก** เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับกระแสการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐที่เล็งเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้
ประการที่สองคือ **การลงทุนจากนักลงทุนสถาบันที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเป็นระยะ** ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องและความมีเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้นกลุ่มเทคในภาพรวม

**ปัจจัยลบหรือความเสี่ยง:**
ประการแรกคือ **การที่ธุรกิจเทคในไทยส่วนใหญ่ยังคงเน้นไปที่การเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก หรือการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเป็นหลัก** มากกว่าการเป็นผู้พัฒนานวัตกรรมขั้นสูงโดยตรง เช่น ด้าน AI หรือเทคโนโลยีเกิดใหม่อื่นๆ ซึ่งอาจทำให้ความน่าสนใจในแง่ของการเติบโตแบบก้าวกระโดดลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นเทคในต่างประเทศที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย
ประการที่สองคือ **ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในระดับผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน** ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสามารถของบริษัทในการขยายธุรกิจและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

**กลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนระยะยาว**

เมื่อพิจารณาถึงภาพรวม โอกาส และความท้าทายแล้ว การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคไทยอาจต้องปรับมุมมองและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม นักลงทุนไม่ควรมองที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) เพียงอย่างเดียว แต่มองที่ **ศักยภาพการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว** เป็นหลัก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

นอกจากนี้ ควร **เลือกบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง** ซึ่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว และเป็นเกราะป้องกันความผันผวนของตลาดได้ในระดับหนึ่ง

สิ่งสำคัญอีกประการคือการ **กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสม** เนื่องจากวัฏจักรของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว การพึ่งพาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป อาจมีความเสี่ยงสูง

ดังที่นายนักรบ เนียมชื่อธรรม เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าเรามองกันในแง่ของอุตสาหกรรมเทค ทาง SET ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าการลงในนวัตกรรมขั้นสูงโดยตรง” ซึ่งสะท้อนลักษณะเฉพาะของหุ้นเทคไทยที่เราต้องทำความเข้าใจ

และนี่คือเหตุผลว่าทำไม นายประกิต สิริวัฒนเกตน์ จึงแนะนำว่า “นักลงทุนต้องสวมหมวกนักลงทุนแบบ Patient Capital” หรือนักลงทุนที่มีความอดทนและสามารถถือครองการลงทุนได้ในระยะยาว เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการลงทุนที่ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นต้องใช้เวลา

อย่างไรก็ตาม นายวิชาเน่นักลงทุนหุ้นเทคนิคโน๊ต ก็ได้ตอกย้ำถึงศักยภาพในระยะยาวว่า “เทคโนโลยีคือตัวแปรสำคัญดันธุรกิจเติบโต ส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มเทคในระยะยาว”

**บทสรุป: โอกาสที่ต้องอาศัย Patient Capital**

การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคของไทยนั้นเปรียบเสมือนการร่วมเดินทางไปกับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยโอกาสใหม่ๆ แต่ก็มีความท้าทายแฝงอยู่ การมองหาผลตอบแทนที่รวดเร็วอาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดในกลุ่มนี้

การถือหุ้นในระยะยาวอย่างน้อย 5 ปี หรือที่เรียกว่า Patient Capital ดูจะเป็นแนวทางที่น่าสนใจและมีเหตุผลรองรับ เนื่องจากกระแส Digital Transformation นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาและสร้างผลกระทบอย่างแท้จริง บริษัทเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ จะสามารถเติบโตไปพร้อมกับกระแสนี้และสร้างมูลค่าให้กับนักลงทุนในระยะยาวได้

ดังนั้น หากนักลงทุนทำการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน ทำความเข้าใจบริบทของอุตสาหกรรมเทคไทย และพร้อมที่จะสวมหมวกของ “นักลงทุนที่อดทน” การลงทุนในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีของไทยในระยะยาว ก็มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจและเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง.