## หุ้นปันผลในยามตลาดผันผวน: ทางเลือกที่น่าพิจารณาสำหรับนักลงทุน

ท่ามกลางมรสุมแห่งความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นไทย เรื่องราวการลงทุนของเพื่อนผมคนหนึ่งที่ชื่อ “เจ” สะท้อนภาพความท้าทายที่นักลงทุนหลายคนกำลังเผชิญ เจเป็นพนักงานประจำที่มุ่งหวังจะสร้างรายได้เพิ่ม และหลังจากการศึกษาข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เขาก็เริ่มหันมาสนใจ “หุ้นปันผล” อย่างจริงจัง แต่เส้นทางการลงทุนของเขาก็เริ่มต้นขึ้นในจังหวะที่ตลาดกำลังเผชิญภาวะยากลำบาก

ข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกได้ชี้ให้เห็นภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 2567 ต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2568 ที่น่ากังวล ดัชนี SET ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับกว่า 1,700 จุด ลงมาอยู่ที่ประมาณ 1,241 จุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 และให้ผลตอบแทนติดลบไปแล้วกว่า 10% ตั้งแต่ต้นปี นี่คือสภาพตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวนและสร้างความอึดอัดใจให้กับนักลงทุนไม่น้อย

อะไรคือปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังความผันผวนและผลตอบแทนที่เป็นลบนี้? การวิเคราะห์เชิงลึกได้ระบุสาเหตุไว้หลายประการ เริ่มตั้งแต่ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น อัตราการเกิดของประชากรไทยที่ต่ำมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงข้อจำกัดในการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในอนาคตระยะยาว นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค เช่น จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย หรือสิงคโปร์ ปัจจัยเหล่านี้ผนวกกับความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ได้ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติปรับลดน้ำหนักการลงทุนและมีการเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตามมาด้วยแรงขายจากกองทุนในประเทศอีกด้วย

นอกจากปัจจัยมหภาคแล้ว ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อตลาด ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเสี่ยงจากประเด็นต่างๆ เช่น กำแพงภาษี, การปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทต่างๆ, และการที่ยอดเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (JD) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากประเทศ เหล่านี้คือภาพรวมของความท้าทายที่ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญ

ท่ามกลางสภาพตลาดที่เต็มไปด้วยปัจจัยลบและความผันผวนเช่นนี้เอง “หุ้นปันผล” ได้กลายเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่กลับมาอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอ และต้องการลดทอนผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้น

แนวคิดพื้นฐานของหุ้นปันผลนั้นเรียบง่าย นั่นคือ บริษัทจะแบ่งผลกำไรส่วนหนึ่งคืนกลับมาในรูปของ “เงินปันผล” อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ซึ่งคำนวณได้จาก (เงินปันผลต่อหุ้นต่อปี x 100) / ราคาหุ้นปัจจุบัน เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บอกว่าเราจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของราคาที่เราลงทุนไป ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัท A ประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 5 บาทต่อปี และราคาหุ้นอยู่ที่ 100 บาท อัตราเงินปันผลตอบแทนก็จะเท่ากับ (5 x 100) / 100 = 5% ในยามที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงและราคาหุ้นลดต่ำลง ขณะที่บริษัทนั้นๆ ยังคงสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับเดิม หรือใกล้เคียงเดิม อัตราเงินปันผลตอบแทนก็จะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจนับเป็นจังหวะที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองหา “ส่วนลด” ในการเข้าซื้อหุ้นที่ดี

การลงทุนในหุ้นปันผลมีข้อดีหลายประการที่ทำให้เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจในทุกสภาวะตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ตลาดผันผวน ข้อแรกคือ ช่วยสร้าง “รายได้สม่ำเสมอ” ในรูปของเงินปันผล ซึ่งถือเป็นกระแสเงินสดที่เข้ามาเป็นประจำ ทำให้พอร์ตลงทุนมีรายได้ที่ไม่ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของราคาหุ้นเพียงอย่างเดียว ประการที่สอง ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลงหรือราคาหุ้นปรับตัวลดลง รายได้จากเงินปันผลที่ได้รับสามารถช่วย “ลดทอน” ผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากราคาหุ้นที่ตกลงไปได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถนำเงินปันผลที่ได้รับไป “ลงทุนต่อ” ในหุ้นตัวเดิมหรือหุ้นตัวอื่น เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังของดอกเบี้ยทบต้น หรือ “Power of Compounding” ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวได้อย่างมหาศาล และสุดท้าย สำหรับนักลงทุนที่กังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ หุ้นปันผลจากบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มักจะเป็นบริษัทที่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าหรือบริการได้ ทำให้ผลประกอบการยังคงเติบโตและสามารถจ่ายปันผลได้ดี ซึ่งช่วย “ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ” ได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นปันผลก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อควรระวัง การพิจารณา “อัตราเงินปันผลตอบแทนที่สูงลิ่ว” เพียงอย่างเดียว อาจเป็นกับดักได้เช่นกัน เพราะอัตราปันผลที่สูงมาก อาจเกิดจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพราะบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีเป็นพิเศษ ในทางกลับกัน บริษัทที่มีอัตราปันผลสูงผิดปกติ อาจกำลังประสบปัญหาบางอย่างในอนาคต ทำให้ไม่สามารถสร้างรายได้และรักษาระดับการจ่ายปันผลที่สูงเช่นนั้นไว้ได้ในระยะยาว ดังนั้น การดูเพียงตัวเลขอัตราปันผลจึงไม่เพียงพอ

เพื่อการประเมินหุ้นปันผลอย่างรอบด้านและครอบคลุม นักลงทุนควรพิจารณาเกณฑ์การคัดเลือกที่เข้มข้นกว่านั้น ซึ่งข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกได้รวบรวมเกณฑ์ที่สำคัญไว้ดังนี้:
1. **ฐานะการเงินแข็งแกร่ง:** ดูได้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ที่ต่ำ ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทมีความมั่นคงทางการเงินเพียงพอที่จะสามารถจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอในทุกสภาพเศรษฐกิจ
2. **ผลการดำเนินงานดีและมีกำไรสม่ำเสมอ:** บริษัทที่ดีต้องทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ประสบภาวะขาดทุนเป็นประจำ
3. **กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก:** แสดงถึงความสามารถของบริษัทในการบริหารจัดการเงินสดที่เข้ามาและออกไปจากธุรกิจหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. **ประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ:** บริษัทควรมีประวัติการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 5 ปี เพื่อเป็นสิ่งการันตีถึงความยั่งยืนของนโยบายการจ่ายปันผล
5. **อัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) อยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล:** การจ่ายปันผลมากเกินไปอาจกระทบต่อเงินทุนที่บริษัทต้องการใช้ในการขยายธุรกิจ ขณะที่การจ่ายน้อยเกินไปก็อาจไม่สร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจในแง่ของเงินปันผล
6. **มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง:** พิจารณาจาก Free Float ที่ไม่น้อยกว่า 15% เพื่อให้มั่นใจว่านักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นได้โดยไม่ยากลำบาก
7. **มีค่า P/E ต่ำ:** อัตราส่วนราคาต่อกำไรที่ต่ำ อาจบ่งชี้ว่าราคาหุ้นยังไม่แพงเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
8. **มีค่า Beta ต่ำ:** ค่า Beta ที่ต่ำ แสดงว่าราคาหุ้นมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดโดยรวม ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูง

นอกจากเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นที่ดีแล้ว “จังหวะเวลา” ในการเข้าลงทุนก็มีบทบาทเช่นกัน มีข้อมูลทางสถิติจากงานวิจัยในต่างประเทศ เช่น แคนาดา ที่ชี้ว่า การเข้าซื้อหุ้นก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD (Ex-Dividend) ประมาณ 2 เดือน และขายออกในวันขึ้นเครื่องหมาย XD อาจมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเข้าซื้อหุ้นในช่วงเวลาที่ใกล้ถึงวันขึ้นเครื่องหมาย XD อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนในหุ้นปันผลที่เน้นการลงทุนระยะยาว ความสำคัญของจังหวะเวลาอาจไม่ได้มีน้ำหนักเท่ากับการคัดเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีและความสามารถในการจ่ายปันผลที่ยั่งยืน

เพื่อให้นักลงทุนมองเห็นภาพของหุ้นปันผลที่น่าสนใจ มีข้อมูลตัวอย่างที่รวบรวมมาจากหลายแหล่ง ณ ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำให้ลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าหุ้นลักษณะใดที่ติดอันดับน่าสนใจตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น ข้อมูลหุ้นปันผลสูงในประเทศไทยโดยไม่รวมกองทุนหรือทรัสต์ จะพบหุ้นที่มีอัตราปันผลสูงมากอย่าง JAS, BRI, AGE เป็นต้น ซึ่งบางตัวมีค่า P/E ต่ำมาก หรือบางตัวอาจไม่มีค่า P/E แสดงว่ามีผลขาดทุน ซึ่งต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานอย่างรอบคอบก่อนลงทุน ในขณะที่ข้อมูลอีกชุดที่เน้นหุ้นที่มีกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอติดต่อกัน 5 ปี ก็จะมีรายชื่อหุ้นที่แตกต่างออกไป เช่น AI, SENA, LALIN, TISCO, LH เป็นต้น ซึ่งกลุ่มนี้อาจมีอัตราปันผลไม่สูงเท่ากลุ่มแรก แต่มีความน่าเชื่อถือในแง่ของประวัติการจ่ายที่ยาวนานขึ้น และหากพิจารณาเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ที่มีอัตราปันผลตอบแทนคาดการณ์สูง ก็จะมีชื่อคุ้นหูอย่าง TOP, LH, SCB, PTTEP, TISCO เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่คาดการณ์หุ้นที่มี Dividend Yield เกิน 5% สำหรับปี 2568 ซึ่งรวมถึงหุ้นอย่าง TOP, SIRI, SCB, SPALI, AP, KBANK, PTT, TU, PTTGC, BBL

สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำจากข้อมูลเหล่านี้คือ ขณะที่หุ้นหลายตัวมีอัตราปันผลตอบแทนสูง โมเมนตัมของอัตราปันผลบางส่วนนั้นอาจเกิดจากการที่ราคาหุ้นได้ตกลงอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ ดังนั้น การเห็นตัวเลขอัตราปันผลที่สูงมาก ไม่ควรทำให้นักลงทุนละเลยการตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทอย่างละเอียดยิ่งขึ้น

ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นปันผลใดๆ ก็ตาม นักลงทุน “ควร” ทำการบ้านอย่างรอบคอบและเข้มข้น:
ประการแรก ต้องศึกษาข้อมูลบริษัทในเชิงลึก ทั้งฐานะการเงินที่แท้จริง ประวัติผลประกอบการที่ผ่านมา แผนธุรกิจและแนวโน้มในอนาคต
ประการที่สอง การ “กระจายการลงทุน” ยังคงเป็นหลักการสำคัญ ควรลงทุนในหุ้นปันผลจากหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อลดความเสี่ยงที่กระจุกตัว
ประการที่สาม แม้จะมีข้อมูลเรื่องจังหวะเข้าซื้อก่อนวัน XD แต่สำหรับการลงทุนในหุ้นปันผล ควรเน้นที่การลงทุนใน “ระยะยาว” เพื่อรับกระแสเงินปันผลที่สม่ำเสมอและได้รับประโยชน์จากการเติบโตของบริษัทในอนาคต

โดยสรุปแล้ว ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไทยเต็มไปด้วยความผันผวนและปัจจัยท้าทายมากมาย การลงทุนในหุ้นปันผลสามารถเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอและประคองพอร์ตลงทุนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้อย่างสงบมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่การเลือกหุ้นที่มีอัตราปันผลสูงเท่านั้น การลงทุนในหุ้นปันผลต้องมาพร้อมกับการกำกับดูแลอย่างมีวิจารณญาณ มีความ skeptical และไม่ยึดติดแค่ตัวเลขผลตอบแทนในอดีต ต้องมองให้กว้างไกลถึงโครงสร้างธุรกิจและนโยบายการจ่ายปันผลในอนาคต รวมถึงการพิจารณาตัวชี้วัดด้านพื้นฐานที่สำคัญอื่นๆ เช่น ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) และกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) อยู่เสมอ ก้าวสำคัญในการลงทุนที่ยั่งยืนคือการก้าวไปพร้อมกับความรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในตลาดที่เราลงทุน.