## เรื่องราวของ “เวลา” ในตลาดหุ้น: เบื้องหลังการปรับเวลาทำการและโอกาสของนักลงทุน

คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมการซื้อขายในตลาดหุ้นต้องมีเวลาเปิด-ปิดที่แน่นอน? และทำไมเวลาทำการเหล่านี้ถึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง? เรื่องของ “เวลา” ในโลกของการลงทุน ไม่ใช่แค่เรื่องของนาฬิกาที่บอกชั่วโมง แต่คือหัวใจสำคัญที่เชื่อมโยงโอกาส กลยุทธ์ และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกการเงินที่หมุนไปไม่หยุด

เมื่อเร็วๆ นี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ได้ประกาศการปรับเปลี่ยนเวลาทำการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป การปรับครั้งนี้อาจดูเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่เบื้องหลังนั้นมีความคิดและการวิเคราะห์เชิงลึกซ่อนอยู่ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย และมอบโอกาสพร้อมความสะดวกสบายที่มากขึ้นแก่นักลงทุน

**เจาะลึกการปรับเวลา: เกิดอะไรขึ้นบ้าง?**

การเปลี่ยนแปลงหลักๆ ที่เกิดขึ้นคือ การปรับเวลาเปิดทำการซื้อขายในช่วงบ่ายให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 30 นาที ในขณะที่ช่วงเช้ายังคงเวลาเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

สำหรับ **ตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai**
* **ช่วงเช้า:** ยังคงเปิดทำการซื้อขายตามปกติ ตั้งแต่ 10:00 น. และปิดในเวลา 12:30 น. โดยมีช่วงก่อนเปิดตลาด (Pre-Opening) เริ่มตั้งแต่ 09:30 น.
* **ช่วงบ่าย:** นี่คือส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยช่วงก่อนเปิดตลาด (Pre-Opening Period) จะเริ่มเร็วขึ้นเป็น 13:30 น. (จากเดิม 14:00 น.) และเข้าสู่ช่วงเวลาทำการซื้อขาย (Trading Session II) ตั้งแต่เวลา 14:00 น. ไปจนถึง 16:30 น. (จากเดิม 14:30 น. – 16:30 น.)

ในส่วนของ **ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX)** ซึ่งครอบคลุมสินค้ากลุ่ม Equity Futures & Options, Currency Futures และ Interest Rate Futures ก็มีการปรับเวลาในช่วงบ่ายให้สอดคล้องกันเช่นกัน
* **ช่วงเช้า:** ยังคงเปิดทำการตั้งแต่ 09:45 น. ถึง 12:55 น. โดยมีช่วงเตรียมการซื้อขายล่วงหน้า (Pre-Open) ตั้งแต่ 09:15 น.
* **ช่วงบ่าย:** ช่วงเตรียมการซื้อขายล่วงหน้าภาคบ่ายจะเริ่มเร็วขึ้นเป็น 13:15 น. (จากเดิม 13:45 น.) และช่วงเวลาทำการซื้อขายช่วงบ่าย (Afternoon Session) คือ 13:45 น. ถึง 16:55 น. (จากเดิม 14:15 น. – 16:55 น.)

จะเห็นได้ว่า หัวใจของการปรับครั้งนี้คือการ “เลื่อน” เวลาช่วงบ่ายให้ขยับเข้ามาเร็วขึ้นครึ่งชั่วโมง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเพียงเท่านี้ส่งผลกระทบและมีความหมายมากกว่าที่คิด

**ทำไมต้องปรับเวลา? เบื้องหลังการคิดเชิงกลยุทธ์**

เหตุผลหลักที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อธิบายถึงการปรับเปลี่ยนเวลาในครั้งนี้ คือการเพิ่มโอกาสและความสะดวกให้กับนักลงทุน รวมถึงการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยให้ทัดเทียมกับตลาดต่างประเทศ

* **ตอบสนองข่าวสารระดับโลกได้ทันท่วงที:** ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก ข่าวสารหรือเหตุการณ์สำคัญในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและยุโรป มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาทำการของตลาดหุ้นไทย การที่ตลาดหุ้นไทยเปิดช่วงบ่ายเร็วขึ้น 30 นาที ทำให้นักลงทุนสามารถรับทราบข่าวสารและปรับกลยุทธ์การลงทุนของตนเองได้ทันท่วงทีมากขึ้น ไม่ต้องรอจนกว่าตลาดจะเปิดทำการตามเวลาเดิม ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสหรือตกอยู่ในความเสี่ยงจากความผันผวนที่เกิดขึ้นไปแล้ว
* **เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน:** ตลาดทุนในภูมิภาคหลายแห่งมีการปรับเวลาทำการเพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลาซื้อขายหลักของตลาดการเงินโลก การที่ตลาดหุ้นไทยปรับเวลาให้ใกล้เคียงกับมาตรฐานสากลมากขึ้น ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติในการบริหารพอร์ตการลงทุนของตนเอง
* **สอดคล้องกับสภาพคล่อง:** การเปิดช่วงบ่ายเร็วขึ้น อาจช่วยเกลี่ยปริมาณการซื้อขายให้กระจายตัวมากขึ้น ลดความหนาแน่นของการส่งคำสั่งในช่วงท้ายของวัน และอาจช่วยให้การค้นหาราคา (Price Discovery) มีประสิทธิภาพมากขึ้น

**โครงสร้างเวลาทำการที่นักลงทุนควรรู้**

นอกเหนือจากเวลาเปิด-ปิดหลัก การทำความเข้าใจโครงสร้างช่วงเวลาทำการซื้อขายจะช่วยให้นักลงทุนวางแผนการส่งคำสั่งได้อย่างเหมาะสม ในตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai มีช่วงเวลาที่สำคัญหลายช่วง:

1. **ช่วงก่อนเปิดทำการ (Pre-open):** เป็นช่วงที่ระบบเปิดรับคำสั่งซื้อขายก่อนตลาดเปิดจริง คำสั่งเหล่านี้จะถูกรวบรวมเพื่อใช้ในการคำนวณหาราคาเปิด (Opening Price) โดยใช้วิธีจับคู่อัตโนมัติแบบ Auction ช่วงนี้สำคัญมากเพราะเป็นตัวกำหนดราคาเริ่มต้นของวัน
2. **ช่วงเวลาทำการ (Trading Session):** เป็นช่วงเวลาหลักของการซื้อขาย ซึ่งคำสั่งซื้อขายจะถูกจับคู่แบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (Automated Order Matching – AOM) ตามราคาและเวลาที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังรวมถึงการบันทึกรายการซื้อขายพิเศษ เช่น Big Lot หรือรายการของนักลงทุนต่างชาติ
3. **ช่วงก่อนปิดทำการ (Pre-close):** คล้ายกับช่วง Pre-open แต่เป็นช่วงก่อนตลาดปิด คำสั่งซื้อขายในช่วงนี้จะถูกรวบรวมเพื่อคำนวณหาราคาปิด (Closing Price) โดยใช้วิธี Auction
4. **ช่วงนอกเวลาทำการ (Off-hour):** หลังจากราคาปิดถูกกำหนดแล้ว ยังมีช่วงสั้นๆ ที่อนุญาตให้บันทึกรายการซื้อขายบางประเภท เช่น Big Lot หรือรายการที่เกิดขึ้นนอกเวลาทำการปกติ

การทำความเข้าใจว่าแต่ละช่วงเวลาทำงานอย่างไร และคำสั่งซื้อขายของเราจะถูกประมวลผลด้วยวิธีใด (เช่น AOM หรือ Auction) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการส่งคำสั่งที่มีประสิทธิภาพ

**มองข้ามช็อต: เวลาทำการตลาดหุ้นต่างประเทศและ DRx**

สำหรับนักลงทุนที่สนใจขยายขอบเขตการลงทุนไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือผ่านเครื่องมืออย่าง DRx (ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศแบบหน่วยย่อย) การทำความเข้าใจเวลาทำการของตลาดเหล่านั้นยิ่งมีความสำคัญมาก

ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เป็นตลาดที่ส่งอิทธิพลอย่างสูงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เวลาทำการปกติของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (เช่น NYSE, Nasdaq) เมื่อแปลงเป็นเวลาประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา Daylight Saving Time (DST) ในแต่ละปี
* **ช่วงที่ไม่มี DST (ประมาณ พ.ย. – มี.ค.):** ตลาดสหรัฐฯ เปิด 21:30 น. และปิด 04:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
* **ช่วงที่มี DST (ประมาณ มี.ค. – ต.ค./พ.ย.):** ตลาดสหรัฐฯ เปิด 20:30 น. และปิด 03:00 น. ตามเวลาประเทศไทย

การปรับเวลาช่วงบ่ายของ SET ให้เร็วขึ้น ทำให้เวลาปิดตลาด 16:30 น. มีช่วงคาบเกี่ยวกับช่วงที่ตลาดยุโรปกำลังจะปิด หรือใกล้เคียงกับช่วงที่ตลาดสหรัฐฯ กำลังจะเปิด (ในช่วง Pre-market ของสหรัฐฯ) มากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้นักลงทุนไทยที่ติดตามข่าวสารจากตลาดเหล่านี้ สามารถวางแผนการลงทุนในวันถัดไปได้ดีขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีช่วงเวลาการซื้อขายนอกเวลาทำการปกติ หรือที่เรียกว่า **Extended Hours Trading** ซึ่งแบ่งเป็น:
* **ช่วงก่อนตลาดเปิด (Premarket):** เกิดขึ้นก่อนตลาดเปิดทำการปกติ
* **ช่วงหลังตลาดปิด (Post Market):** เกิดขึ้นหลังตลาดปิดทำการปกติ

ช่วง Extended Hours ในตลาดสหรัฐฯ สามารถเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อขายทันทีที่เกิดข่าวสารสำคัญนอกเวลาทำการ แต่ก็มาพร้อมกับ **ข้อควรระวัง** ที่สำคัญ คือช่วงเวลานี้มักมี **สภาพคล่องต่ำ** และ **ความผันผวนสูง** คำสั่งซื้อขายอาจไม่ถูกจับคู่ได้ง่ายเท่าช่วงเวลาปกติ และราคาอาจเหวี่ยงรุนแรงได้ นักลงทุนที่คิดจะเข้าซื้อขายในช่วงนี้จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

สำหรับ **DRx** ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศชั้นนำในรูปแบบหน่วยย่อยผ่านตลาดหุ้นไทย ก็มีเวลาทำการที่แตกต่างกันไปตามสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หากอ้างอิงหุ้นในโซน Asia Time Zones ก็จะมีเวลาทำการในช่วงเช้า-บ่ายของไทยที่ยาวนานกว่า ในขณะที่ DRx ที่อ้างอิงหุ้นในโซน US Time Zones ก็จะมีเวลาทำการในช่วงกลางคืนตามเวลาไทย ซึ่งสอดคล้องกับตลาดสหรัฐฯ การทราบเวลาทำการของ DRx แต่ละตัวจึงสำคัญมาก เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการส่งคำสั่ง

**สรุปและข้อคิดสำหรับนักลงทุน**

การปรับเปลี่ยนเวลาทำการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การขยับตัวเลขบนนาฬิกา แต่เป็นการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ของตลาดทุนไทย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น โอกาส และความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับสากล การที่ตลาดเปิดช่วงบ่ายเร็วขึ้น 30 นาที ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถตอบสนองต่อข่าวสารและสถานการณ์ในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับนักลงทุนแต่ละคน การเปลี่ยนแปลงนี้หมายถึงการที่ต้องปรับตารางเวลาและพิจารณากลยุทธ์การลงทุนของตนเองให้สอดคล้องกับเวลาใหม่ การทำความเข้าใจโครงสร้างช่วงเวลาทำการต่างๆ รวมถึงความแตกต่างของเวลาทำการสำหรับสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น DRx หรือเวลาทำการของตลาดต่างประเทศที่เราสนใจ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจดจำคือ **การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงเสมอ** ไม่ว่าจะซื้อขายในช่วงเวลาใดก็ตาม การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทำความเข้าใจในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่จะลงทุน และพิจารณาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ยิ่งในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ “เวลา” ในตลาดทุน จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนนำทางไปสู่เป้าหมายการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

เวลาเป็นสิ่งมีค่า ในโลกของการลงทุน การใช้เวลาอย่างเข้าใจ คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ.


**ข้อสงวนสิทธิ์:** บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ข้อมูลและความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนเวลาทำการซื้อขายในตลาดทุนไทยและเวลาทำการของตลาดต่างประเทศ ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน.