## เวลาเปลี่ยน ชีวิตลงทุนเปลี่ยน? เจาะลึกเวลาซื้อขายหุ้นไทยใหม่ พร้อมกลยุทธ์รับมือ
เคยไหมครับที่เพื่อนมาบ่นให้ฟังว่า ซื้อหุ้นอเมริกาตอนกลางคืน ตื่นเช้ามาเห็นราคาร่วงหนักแล้วใจหายวาบ หรือบางทีก็งงๆ ว่าตลาดไหนเปิด ตลาดไหนปิด จนพลาดจังหวะดีๆ ไป… เรื่อง “เวลา” ดูเหมือนเป็นแค่ตัวเลขบนนาฬิกา แต่ในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะการซื้อขายหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ เวลานั้นมีความหมายมากกว่าที่คุณคิด และล่าสุด ตลาดหุ้นไทยก็เพิ่งมีการปรับเปลี่ยนเวลาซื้อขายครั้งสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กรายใหญ่ หรือจะเทรดบ่อยแค่ไหนก็ตาม

**จาก 14:30 สู่ 14:00 น.: การปรับเปลี่ยนที่ต้องรู้**
การเปลี่ยนแปลงเวลาซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมถึงตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ดูเผินๆ อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะช่วงเวลาซื้อขายในรอบเช้ายังคงเดิมคือ 10:00 น. ถึง 12:30 น. สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือ **ช่วงเวลาซื้อขายในรอบบ่าย ที่ขยับจากเดิม 14:30 น. – 16:30 น. มาเป็น 14:00 น. – 16:30 น.** เท่ากับว่า ช่วงบ่ายของเราเริ่มต้นเร็วขึ้นถึงครึ่งชั่วโมงเต็มๆ
เปรียบง่ายๆ เหมือนวงไพ่ที่เคยเริ่มบ่ายสองครึ่ง ตอนนี้ขยับมาเริ่มบ่ายสองตรง หรือร้านค้าที่เคยเปิดประตูตอนบ่ายสองครึ่ง ตอนนี้เปิดเร็วขึ้น 30 นาที นั่นหมายความว่า นักลงทุนมีโอกาสส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงบ่ายได้เร็วขึ้น เข้าถึงสภาพคล่องของตลาดได้เร็วขึ้น
นอกจากเวลาซื้อขายหลักแล้ว ยังมีช่วงเวลาสำคัญอื่นๆ ที่นักลงทุนควรรู้ เช่น ช่วง **Pre-open** (ช่วงก่อนตลาดเปิด ใช้สำหรับส่งคำสั่งและคำนวณราคาเปิด) ในรอบเช้าและรอบบ่าย และช่วง **Pre-close** (ช่วงก่อนตลาดปิด ใช้สำหรับส่งคำสั่งและคำนวณราคาปิด) รวมถึง **Random Time** หรือช่วงเวลาสุ่ม ซึ่งเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนปิดตลาด ที่ระบบจะสุ่มเวลาปิดที่แน่นอนภายในกรอบที่กำหนด เพื่อป้องกันการใช้ประโยชน์จากการส่งคำสั่งซื้อขายในช่วงวินาทีสุดท้าย คล้ายปุ่มลิฟต์ที่จะเปิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ในช่วงเวลาที่กำหนด ทำให้คนกดต้องรอ ไม่ใช่กดปุ๊บประตูเปิดปั๊บ เป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยให้ตลาดโปร่งใสมากขึ้น
**ทำไมต้องเปลี่ยน? เบื้องหลังการขยับเวลา**
การขยับเวลาครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องจุกจิก หรือเปลี่ยนตามใจชอบ แต่มีเบื้องหลังที่มาจากการวิเคราะห์และมองไปถึงภาพใหญ่ของตลาดทุน โดยคุณกอบบุญ บุญราศรี หัวหน้ากลุ่มงานกลยุทธ์ตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เคยอธิบายถึงเหตุผลหลักๆ ว่า การปรับเวลาซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญคือ **เพื่อเชื่อมต่อกับตลาดโลกได้ดีขึ้น (Global Connectivity)** และ **เพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity)** ให้กับตลาดหุ้นไทย

ในโลกการลงทุนปัจจุบัน ตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกเชื่อมโยงถึงกันอย่างแยกไม่ออก ข่าวสารและปัจจัยต่างๆ จากต่างประเทศส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยได้อย่างรวดเร็ว การที่ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายในช่วงบ่ายเร็วขึ้น ก็เท่ากับว่า เรามีช่วงเวลาที่เปิดพร้อมกับตลาดหุ้นสำคัญอื่นๆ ในภูมิภาคมากขึ้น เช่น ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ซึ่งเปิดทำการในช่วงบ่ายตามเวลาประเทศไทย การมีช่วงเวลาที่ทับซ้อนกันมากขึ้นนี้ ช่วยให้นักลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขาย ตอบสนองต่อข่าวสาร หรือปรับพอร์ตได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงจากการเกิด “ช่องว่างราคา” (Gap) ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อตลาดเปิด หากมีข่าวสำคัญเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดปิด
นอกจากนี้ การขยายช่วงเวลาซื้อขายในรอบบ่ายให้ยาวนานขึ้นอีก 30 นาที ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการจับคู่คำสั่งซื้อขาย ทำให้สภาพคล่องโดยรวมของตลาดดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนในการเข้าและออกจากสถานะการลงทุนได้ง่ายขึ้น ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมมากขึ้น
**เวลาในไทย เวลาในโลก: ความซับซ้อนที่นักลงทุนต้องเข้าใจ**
เรื่องเวลาไม่ได้ซับซ้อนแค่ในไทย ลองนึกถึงน้องเบน เพื่อนที่บ่นเรื่องเทรดหุ้นอเมริกา เขาต้องเข้าใจว่าเมื่อตลาดหุ้นไทยเปิดทำการในรอบเช้า (10:00 น.) ตลาดหุ้นใหญ่อย่างวอลล์สตรีทในสหรัฐอเมริกา (New York Time) เพิ่งปิดทำการไปเมื่อคืนตามเวลาท้องถิ่นของเขา และเมื่อตลาดหุ้นไทยปิดทำการในรอบบ่าย (16:30 น. เวลาใหม่) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังไม่เปิดทำการ (ซึ่งมักจะเปิดช่วง 20:30-21:30 น. ตามเวลาไทย ขึ้นอยู่กับช่วงที่มี Daylight Saving Time หรือไม่ ข้อมูลจาก Mitrade ก็ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนนี้)
ความต่างของช่วงเวลาทำการนี้เองที่ทำให้นักลงทุนที่ติดตามตลาดต่างประเทศต้องวางแผนให้ดี ว่าจะใช้ข้อมูลราคาล่าสุดจากตลาดต่างประเทศมาตัดสินใจเทรดหุ้นไทยเมื่อไหร่ หรือจะทำอย่างไรหากมีข่าวใหญ่เกิดขึ้นตอนตลาดไทยปิดและตลาดต่างประเทศเปิดอยู่ การปรับเวลาซื้อขายหุ้นไทยรอบบ่ายให้เร็วขึ้น ก็เป็นการลด “ช่องว่าง” ของเวลาทำการระหว่างตลาดไทยกับตลาดในภูมิภาคลงได้ในระดับหนึ่ง ช่วยให้นักลงทุนมีเครื่องมือตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันท่วงทีมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม โลกการลงทุนก็มีเครื่องมือที่ช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลา ตัวอย่างเช่น สินค้าลงทุนอย่าง DRx (Depository Receipt) ที่อิงหุ้นต่างประเทศบางตัว ซึ่งเปิดให้ซื้อขายได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมงในบางกรณี ทำให้การลงทุนในหุ้นต่างประเทศมีความยืดหยุ่นด้านเวลามากขึ้น แต่สำหรับหุ้นไทย การปรับเวลาซื้อขายหลักทรัพย์ที่เกิดขึ้นล่าสุด ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ
**ผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย: ป้าสมศรีจะเทรดอย่างไร?**
ลองนึกภาพ ป้าสมศรี นักลงทุนรายย่อยที่ติดตามราคาทองคำเป็นพิเศษ และนิยมเทรด Gold Futures ในตลาด TFEX สมมติว่าเช้าวันหนึ่ง ป้าสมศรีตื่นมาเห็นราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นแรงเพราะมีข่าวใหญ่ช่วงกลางคืนที่ตลาด TFEX ปิด ป้าสมศรีอยากเข้าซื้อ Gold Futures ในช่วงบ่าย พอรู้ว่าตลาด TFEX (ซึ่งมีการปรับเวลาตาม SET/mai ด้วย) จะเปิดทำการช่วงบ่ายตอน 14:00 น. แทนที่จะเป็น 14:30 น. เดิม ป้าสมศรีก็ต้องเตรียมตัวเร็วขึ้น เพื่อจะได้ส่งคำสั่งทันทีที่ตลาดเปิด และจับจังหวะราคาที่อาจมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในช่วงเปิดตลาดบ่าย
เวลาที่เปลี่ยนไปเพียง 30 นาทีในช่วงบ่าย อาจดูน้อยนิด แต่สำหรับนักลงทุนที่เฝ้าจับสัญญาณ เช่น การประกาศข่าวสำคัญช่วงพักกลางวัน หรือการเคลื่อนไหวของตลาดต่างประเทศในช่วงบ่ายแก่ๆ นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่อาจส่งผลต่อราคาและสภาพคล่อง การที่ตลาดเปิดเร็วขึ้น อาจทำให้นักลงทุนมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและตัดสินใจก่อนหน้านี้ได้ทันกว่าเดิม หรือในทางกลับกัน หากไม่เตรียมตัวให้พร้อม ก็อาจพลาดจังหวะสำคัญไปได้เช่นกัน

**กลยุทธ์ปรับตัวสำหรับนักลงทุน**
เมื่อ “เวลาซื้อขายหุ้น” เปลี่ยนไป เราในฐานะนักลงทุนควรปรับตัวอย่างไร?
1. **ปรับนาฬิกาชีวิตการลงทุน:** หากคุณเป็นนักลงทุนแบบ Day Trade หรือเน้นการจับจังหวะระยะสั้น การขยับเวลาเปิดตลาดบ่ายมาเป็น 14:00 น. หมายความว่าช่วงเวลาที่คุณต้องเตรียมตัวและจับจ้องหน้าจอจะเร็วขึ้น 30 นาที วางแผนการพักผ่อนและการทำงานอื่นๆ ในช่วงบ่ายให้สอดคล้องกับเวลาตลาดที่เปลี่ยนไป
2. **ใช้ประโยชน์จากช่วง Pre-open/Pre-close:** ช่วง Pre-open เป็นเหมือนการ “ชั่งน้ำหนัก” ดูว่าตลาดจะไปทางไหนในเช้าวันนั้น หรือบ่ายวันนั้น คำสั่งซื้อขายที่ส่งเข้ามาในช่วง Pre-open จะสะท้อนความต้องการของตลาดก่อนเปิดจริง ส่วนช่วง Pre-close และ Random Time ก็สำคัญสำหรับการดูราคาปิดและสภาพคล่องในช่วงท้ายตลาด การทำความเข้าใจกลไกของช่วงเวลาเหล่านี้ช่วยให้ตัดสินใจส่งคำสั่งซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. **เชื่อมโยงเวลาไทยกับเวลาโลก:** หากลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยจากต่างประเทศสูง หรือเทรดสินค้าอิงต่างประเทศใน TFEX เช่น Gold Futures, Oil Futures หรือติดตามหุ้นเทคโนโลยีที่มักตอบสนองกับตลาดสหรัฐฯ การรู้ว่าเวลาไทยสัมพันธ์กับเวลาตลาดต่างประเทศอย่างไร (เช่น ตลาดสหรัฐฯ เปิด-ปิดช่วงไหนเมื่อเทียบกับเวลาไทย ทั้งในช่วงปกติและช่วง Daylight Saving Time) จะช่วยให้ประเมินความเสี่ยงจาก Gap Price ได้ดีขึ้น
4. **ประเมินสภาพคล่องตามช่วงเวลา:** โดยทั่วไป ช่วงเวลาที่ตลาดเปิด (10:00 น. และ 14:00 น.) และช่วงใกล้ปิดตลาด (16:30 น.) มักจะเป็นช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายสูงและราคามีความผันผวน การปรับเวลาเปิดตลาดบ่ายให้เร็วขึ้น อาจทำให้ช่วงเวลาที่สภาพคล่องสูงในรอบบ่ายเริ่มต้นเร็วขึ้น นักลงทุนที่เน้นสภาพคล่องสูงในการเข้าออกตำแหน่ง อาจต้องให้ความสนใจกับช่วงเวลาใหม่นี้เป็นพิเศษ
5. **สำหรับนักลงทุนระยะยาว:** หากคุณเป็นนักลงทุนที่เน้นพื้นฐานและลงทุนระยะยาว การขยับเวลาซื้อขายเพียง 30 นาทีอาจไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพอร์ตในทุกๆ วัน แต่การทำความเข้าใจ “จังหวะ” ของตลาดว่าทำไมถึงมีการปรับเวลา และเชื่อมโยงกับภาพใหญ่ของตลาดโลกอย่างไร ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญในการมองภาพรวมการลงทุน
**สรุป: เวลาคือเพื่อนหรือศัตรูในการลงทุน?**
คุณกอบบุญเคยเปรียบเวลาการซื้อขายหุ้นเหมือนนาฬิกาทราย เม็ดทรายไหลลงมาตลอดเวลา เราไม่สามารถหยุดเวลาได้ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำอะไรในช่วงเวลาที่เม็ดทรายกำลังไหล การปรับเวลาซื้อขายหุ้นไทยครั้งนี้ ก็เหมือนกับการหมุนนาฬิกาทรายให้เริ่มต้นรอบบ่ายเร็วขึ้น เป็นความพยายามปรับตัวของตลาดให้เข้ากับบริบทการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีความเชื่อมโยงกับตลาดโลกมากขึ้น และมุ่งหวังที่จะเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด
สำหรับนักลงทุน การทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับ “เวลาซื้อขายหุ้น” ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยง และการเพิ่มโอกาสในการลงทุน การรู้ว่าตลาดเปิด-ปิดเมื่อไหร่ ช่วงไหนมีสภาพคล่องสูง ช่วงไหนเสี่ยงที่จะเกิดช่องว่างราคาจากการตอบรับข่าวสารต่างประเทศ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือต่างๆ ที่ตลาดมีให้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว เวลาจะเป็นเพื่อนหรือศัตรูในการลงทุน ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเข้าใจและใช้ประโยชน์จากมันได้ดีแค่ไหนนั่นเองครับ