“`html
## มองตลาดหุ้นไทยท่ามกลางมรสุม: โอกาสที่นักลงทุนต่างชาติยังมองเห็น…และทางเลือกนอกประเทศ

ช่วงนี้ใครที่ติดตามตลาดหุ้นไทยคงจะรู้สึกอึดอัดไม่น้อยกับภาพรวมของตลาดที่ดูเหมือนจะยังหาทิศทางขาขึ้นที่ชัดเจนได้ยาก ตัวเลขที่สะท้อนภาพความอึดอัดนี้ได้อย่างชัดเจนคือ ผลการดำเนินงานของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) นับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวลดลงไปแล้วถึง 7.91% หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่หายไปจากมูลค่าตลาดรวมกว่า 112 จุด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีฟอร์มการเล่นที่น่าผิดหวังที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกันนี้

คำถามที่ตามมาคือ “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?” ข้อมูลเชิงลึกชี้ให้เห็นว่า สาเหตุหลักที่ฉุดรั้งบรรยากาศการลงทุนในบ้านเรา คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ปัจจัยนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อสภาพคล่องและทิศทางของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

เม็ดเงินมหาศาลของนักลงทุนต่างชาติได้ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2567 ยอดขายสุทธิของนักลงทุนกลุ่มนี้พุ่งสูงไปกว่า 104,721.30 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นระดับการขายสุทธิที่มากที่สุดในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังเป็นการขายสุทธิติดต่อกันยาวนานถึง 20 วันทำการ สะท้อนถึงมุมมองที่ระมัดระวังอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ในประเทศไทย

### ท่ามกลางการเทขาย…ใครคือผู้ถูกเลือก?

ท่ามกลางบรรยากาศการเทขายอย่างหนักหน่วงนี้เอง กลับมีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจซ่อนอยู่ นั่นคือ แม้ภาพรวมจะดูมืดหม่น แต่นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ขายหุ้นไทยออกไปทั้งหมด ยังมีหุ้นไทยบางกลุ่มที่ยังคงได้รับความสนใจและมีการ “ซื้อสุทธิ” เกิดขึ้น นี่คือ 10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิสูงสุดตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2567:

1. บริษัท ท็อป เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TOP)
2. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB)
3. บริษัท ดับเบิลยูเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA)
4. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK)
5. บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC)
6. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)
7. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC)
8. บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BDMS)
9. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
10. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF)

รายชื่อเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการคัดเลือกหุ้นรายตัวของนักลงทุนต่างชาติอย่างพิถีพิถัน โดยเน้นไปที่หุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำ (TOP, PTTEP), กลุ่มธนาคารและสถาบันการเงิน (SCB, KBANK, KTC), กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และนิคมอุตสาหกรรม (WHA), กลุ่มสื่อสาร (ADVANC), กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS), กลุ่มการท่องเที่ยว (AOT), และกลุ่มอาหาร (CPF) ซึ่งแต่ละกลุ่มอาจมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หรือเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง และยังคงน่าสนใจในเชิงพื้นฐาน แม้ภาพรวมตลาดจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองเจาะลึกไปที่หุ้นอันดับต้นๆ ในลิสต์นี้อย่าง หุ้น TOP ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำอย่าง กรุงศรี และ กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นโรงกลั่นตัวนี้ โดยยังคงคำแนะนำให้ “ซื้อ” พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย ซึ่งปัจจัยหนุนระยะสั้นมาจากแนวโน้มค่าการกลั่นที่คาดว่าจะฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 รวมถึงประเด็นเฉพาะตัวอื่นๆ ที่ส่งผลดีต่อผลประกอบการ แม้การปรับสมมติฐานค่าการกลั่นโดยรวมจะลดลงเล็กน้อย แต่ภาพรวมของปัจจัยบวกที่เกี่ยวกับธุรกิจโรงกลั่นและการบริหารจัดการสต็อกน้ำมันยังคงเป็นจุดเด่นที่ทำให้หุ้น TOP อยู่ในเรดาร์ของนักลงทุน

### ภาพใหญ่: หุ้นชั้นนำของไทย

นอกเหนือจากหุ้นรายตัวที่ถูกคัดเลือกเป็นพิเศษแล้ว เรามาดูกันที่ภาพใหญ่ของตลาด ซึ่งสะท้อนจากกลุ่มหุ้นที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) สูงที่สุดในตลาดหุ้นไทย ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2566 (อ้างอิงจากข้อมูลที่ให้มา ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 หรือใกล้เคียง):

1. บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA)
2. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT)
3. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC)
4. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
5. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF)
6. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL)
7. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)
8. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB)
9. บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BDMS)
10. บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE)

กลุ่มหุ้นเหล่านี้คือบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดไทย คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบรายชื่อนี้กับ 10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงสุด จะพบว่ามีหุ้นหลายตัวที่ปรากฏอยู่ในทั้งสองลิสต์ เช่น ADVANC, AOT, PTTEP, SCB, และ BDMS สิ่งนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า แม้นักลงทุนต่างชาติจะกังวลกับภาพรวม แต่หุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งในบางอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน สื่อสาร สาธารณูปโภค และบริการ ยังคงเป็นที่สนใจในฐานะ “แกนหลัก” ของพอร์ตการลงทุน

### ทางเลือกนอกประเทศ: มองหาโอกาสในตลาดโลก

เมื่อมองเห็นภาพความท้าทายในตลาดหุ้นไทยแล้ว นักลงทุนหลายท่านอาจเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน ซึ่ง “ตลาดหุ้นต่างประเทศ” คือคำตอบที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปี 2567

ตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงนี้ โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว มีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และที่สำคัญคือ กระแสของ “นวัตกรรม” ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยีล้ำสมัย, และพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ การลงทุนในตลาดโลกช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงอุตสาหกรรมที่หลากหลายและอาจไม่มีในตลาดหุ้นไทย หรือมีแต่ยังไม่โดดเด่นเท่า

และเมื่อพูดถึงตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา มักเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ สำหรับนักลงทุนทั่วโลก ด้วยความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ นวัตกรรม และบริษัทชั้นนำระดับโลก ข้อมูลจาก KSecurities ที่นำเสนอโดย SPOTLIGHT ได้เผยรายชื่อ 10 อันดับหุ้นสหรัฐฯ ที่มีการซื้อขายสูงสุดผ่านแพลตฟอร์มของพวกเขาในปี 2567 ซึ่งสะท้อนถึงหุ้นยอดนิยมในหมู่นักลงทุนไทยที่สนใจตลาดนี้:

1. Nvidia (NVDA)
2. Meta Platforms (META)
3. Tesla (TSLA)
4. Microsoft (MSFT)
5. Advanced Micro Devices (AMD)
6. Coinbase Global (COIN)
7. Trump Media & Technology Group (DJT)
8. Alphabet Inc. – A Share (GOOGL)
9. Super Micro Computer (SMCI)
10. GigaCloud Technology (GCT)

รายชื่อนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นักลงทุนไทยที่ลงทุนในตลาดสหรัฐฯ กำลังให้ความสนใจอย่างมากกับกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีและ AI ไม่ว่าจะเป็น Nvidia, Microsoft, AMD, Alphabet (Google) และ Super Micro Computer ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในวงการ AI และ Cloud Computing นอกจากนี้ยังมีหุ้นเด่นอื่นๆ เช่น Meta Platforms (โซเชียลมีเดีย/AI), Tesla (รถยนต์ไฟฟ้า/พลังงาน), Coinbase (คริปโตเคอเรนซี), และ GigaCloud Technology (E-commerce B2B) ซึ่งสะท้อนถึงการมองหาโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

### สรุปมุมมองการลงทุน

โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นไทยในช่วงกลางปี 2567 กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนซบเซาและมีการเทขายจากนักลงทุนต่างชาติในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาพรวมที่ท้าทายนี้ ยังคงมีหุ้นไทยบางตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมสำคัญบางกลุ่มก็ยังคงเป็นแกนหลักที่น่าจับตา

ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา กำลังนำเสนอโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและคลื่นแห่งนวัตกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนที่มองหาการเติบโตและการกระจายความเสี่ยง

### ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจ

สิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกท่านต้องตระหนักเสมอ คือ การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะเป็นตลาดในประเทศหรือต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ ทั้งในระดับมหภาค ภาคอุตสาหกรรม หรือปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัท ล้วนส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้เสมอ

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวใด หรือตลาดใดก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทำความเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และประเมินความเหมาะสมกับการยอมรับความเสี่ยงของตนเอง

การลงทุนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวังและศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของตลาดหุ้นไทยและโอกาสการลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ดีขึ้น หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเป็นอีกทางเลือกที่ชาญฉลาดก่อนตัดสินใจลงทุนครับ
“`