## หุ้นพลังงานสะอาด: โอกาสการลงทุนแห่งอนาคตที่กำลังเปล่งประกาย (พร้อมมุมมองเชิงลึก)
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางพลังงาน การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่กลายเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ในประเทศไทยเอง ทิศทางนี้ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเร็วๆ นี้ วงการตลาดหุ้นได้กลับมาให้ความสนใจกับ “หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน” อีกครั้งอย่างคึกคัก
จุดประกายสำคัญล่าสุดมาจากการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เปิดรับการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนประตูบานใหญ่ที่เปิดโอกาสให้บริษัทผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้เข้ามายื่นข้อเสนอ เพื่อสร้างกำลังการผลิตและสร้างรายได้ในอนาคต นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ “หุ้นโรงไฟฟ้า” กลับมาอยู่ในสายตาของนักลงทุน และหลายคนกำลังมองหาคำตอบว่า จะคว้าโอกาสนี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมที่สุด

ลองนึกภาพนักลงทุนอย่างคุณสมชัย ที่เคยคุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้ามานานแล้ว เขาชอบหุ้นกลุ่มนี้เพราะให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง แต่ในช่วงที่ผ่านมา เขาสังเกตเห็นว่าราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าหลายตัวมีการปรับตัวลดลง ขณะที่ค่า P/E (Price-to-Earnings Ratio หรืออัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ) ซึ่งบอกว่าเราจ่ายเงินซื้อหุ้นกี่เท่าของกำไรที่บริษัททำได้ ก็ลดต่ำลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ คือประมาณ 12-15 เท่า คุณสมชัยอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่คือ “โอกาสทอง” ที่จะเข้าซื้อหุ้นดีๆ เก็บไว้ เพื่อรอรับผลตอบแทนในอนาคตหรือไม่?
**ทำไมหุ้นโรงไฟฟ้าน่าสนใจในจังหวะนี้?**
หุ้นโรงไฟฟ้ามักถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “หุ้นป้องกันความเสี่ยง” หรือ Defensive Stocks เพราะธรรมชาติของธุรกิจไฟฟ้าคือความต้องการที่ค่อนข้างคงที่ ทำให้ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้มีความมั่นคงและแข็งแกร่ง แม้ในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัว หุ้นกลุ่มนี้จึงมักมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ที่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่า ความมีเสถียรภาพนี้เองที่ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้าเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนที่เน้นความมั่นคง และต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอในรูปของเงินปันผล

ข้อมูลล่าสุดจากบทวิเคราะห์หลายแห่งชี้ให้เห็นว่า ค่า P/E ของหุ้นโรงไฟฟ้าหลายตัวในตลาดตอนนี้อยู่ในระดับที่ “ไม่แพง” เมื่อเทียบกับอดีตหรือเมื่อเทียบกับศักยภาพความมั่นคงของรายได้ การที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมา ในขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมกำลังมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนอย่างการประมูลโครงการใหม่ ทำให้หุ้นกลุ่มนี้มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นทันที โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาแหล่งพักเงินที่มั่นคงและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว
**เจาะลึกกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า: พลังงานฟอสซิล vs พลังงานหมุนเวียน**
โดยทั่วไปแล้ว หุ้นโรงไฟฟ้าที่เราเห็นในตลาดหลักทรัพย์สามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ตามประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า
1. **โรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิล (Conventional Energy):** โรงไฟฟ้ากลุ่มนี้ใช้เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมที่ใช้แล้วหมดไป เช่น ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน หรือน้ำมันเตา ข้อดีคือมีความเสถียรในการผลิตสูงและมักมีกำลังผลิตขนาดใหญ่ แต่ข้อเสียคือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในรูปของก๊าซเรือนกระจก หุ้นในกลุ่มนี้ที่หลายคนคุ้นเคย เช่น BGRIM, BPP, EGCO, GPSC, GULF, RATCH, SCG
2. **โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy):** นี่คือกลุ่มที่กำลังมาแรง ใช้แหล่งพลังงานสะอาดจากธรรมชาติที่ไม่มีวันหมด เช่น แสงอาทิตย์ ลม น้ำ ชีวมวล ขยะ หรือความร้อนใต้พิภพ แม้จะมีความเสถียรน้อยกว่าและกำลังผลิตต่อหน่วยเล็กกว่า แต่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามกระแสโลกที่มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หุ้นในกลุ่มนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ไปจนถึงบริษัทขนาดเล็ก เช่น ACE, BCPG, CKP, CV, DEMCO, EA, ETC, GREEN, GUNKUL, NOVA, PRIME, SOLAR, SPCG, SSP, SUPER, TGE, TSE, TPIPP, EP, TPCH, PSTC, UPA, SAAM
**กุญแจสำคัญในการวิเคราะห์หุ้นโรงไฟฟ้า**
สำหรับนักลงทุนอย่างคุณสมชัย หรือใครก็ตามที่สนใจหุ้นกลุ่มนี้ การตัดสินใจลงทุนต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ราคาหรือค่า P/E เท่านั้น
1. **แนวโน้มอุตสาหกรรมและนโยบายรัฐ:** ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศสัมพันธ์โดยตรงกับสภาวะเศรษฐกิจ การเติบโตของประเทศหมายถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) และแผนพัฒนาพลังงานทดแทน (AEDP) ถือเป็นตัวกำหนดทิศทางและโอกาสในการลงทุนที่สำคัญ บริษัทไหนที่มีโครงการสอดคล้องกับแผนเหล่านี้ ก็มีโอกาสเติบโตสูง
2. **สัญญาซื้อขายไฟ (Power Purchase Agreement – PPA):** สัญญาซื้อขายไฟเป็นหัวใจหลักของธุรกิจโรงไฟฟ้า รายละเอียดในสัญญามีผลต่อความมั่นคงของรายได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น คู่สัญญา (กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (EGAT), การไฟฟ้านครหลวง (MEA), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) หรือลูกค้าอุตสาหกรรมโดยตรง) ระยะเวลาสัญญาที่มักจะเป็นระยะยาว และที่สำคัญคือ อัตรารับซื้อไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ Adder (ส่วนเพิ่มจากค่าไฟฟ้าฐาน) หรือ FiT (Feed-in Tariff หรืออัตรารับซื้อไฟฟ้าแบบคงที่ตลอดอายุสัญญา) รูปแบบรายได้ที่มั่นคงย่อมสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้มากกว่า
3. **ขนาดกำลังการผลิตและโมเดลรายได้:** โรงไฟฟ้ามีหลายขนาด ตั้งแต่ IPP (Independent Power Producer) ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก (>90 MW) มักมีสัญญากับ EGAT ทำให้รายได้มั่นคงสูง ไปจนถึง SPP (Small Power Producer) ขนาดกลาง (10-90 MW) ที่ขายให้ EGAT และลูกค้าอุตสาหกรรม และ VSPP (Very Small Power Producer) ขนาดเล็ก (<10 MW) ที่มีสัญญากับ MEA/PEA แม้ VSPP บางประเภทอาจได้รับอุดหนุน แต่รายได้อาจผันผวนตามสภาพอากาศ (เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือลม) หรือวัตถุดิบ (เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล)
4. **ประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการ:** เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) ที่ช่วยเพิ่มความเสถียรให้กับพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความสามารถในการบริหารต้นทุนเชื้อเพลิงหรือต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ล้วนส่งผลต่อผลกำไรของบริษัททั้งสิ้น
**พลังงานทดแทน: อนาคตที่กำลังถูกขับเคลื่อนด้วย 4 พลังสำคัญ**
หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนนั้นเปรียบเสมือน “ดาวเด่น” ที่กำลังถูกจับตามองในภาคการลงทุนแห่งอนาคต การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มนี้ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
* **แรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ (Regulatory Force):** รัฐบาลทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ต่างมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า การให้เงินอุดหนุน หรือการเปิดประมูลโครงการต่างๆ
* **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technological Force):** เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียน พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้การผลิตไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนลดลง และมีความเสถียรมากขึ้น เช่น ประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ หรือเทคโนโลยีแบตเตอรี่สำหรับกักเก็บพลังงาน
* **แรงผลักดันทางเศรษฐกิจ (Economic Force):** เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ต้นทุนการผลิตก็ลดลง ทำให้พลังงานหมุนเวียนสามารถแข่งขันด้านราคากับพลังงานฟอสซิลได้มากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนในพลังงานสะอาด ทำให้การลงทุนมีความน่าสนใจทางเศรษฐกิจมากขึ้น
* **การขับเคลื่อนทางสังคม (Social Force):** ผู้บริโภคและสังคมตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีนโยบายและดำเนินการด้านความยั่งยืน (ESG) การลงทุนในพลังงานสะอาดจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั้งผู้บริโภค นักลงทุน และหน่วยงานกำกับดูแล
**มองผ่านตัวเลขและมุมมองนักวิเคราะห์**
การประมูลโครงการใหม่ของ กกพ. ได้กลายเป็นปัจจัยบวกที่กำลังหนุนให้หุ้นโรงไฟฟ้าหลายตัวเพิ่มความน่าสนใจขึ้น นอกจากนี้ ภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลดีต่อบริษัทที่มีการลงทุนในโครงการต่างประเทศ เพราะจะช่วยลดต้นทุนการลงทุนและอาจทำให้รับรู้ผลกำไรในรูปเงินบาทที่สูงขึ้นเมื่อมีการแปลงค่ากลับมา
หากพิจารณาจากข้อมูลตลาด ณ วันที่ 25 กันยายน 2567 จะเห็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของหุ้นพลังงานทดแทนบางตัว แม้ภาพรวมของบางบริษัทขนาดใหญ่อย่าง GPSC หรือ BGRIM อาจมีผลตอบแทนติดลบเมื่อเทียบกับต้นปี (YTD) แต่หุ้นขนาดกลาง-เล็กบางตัวกลับมีผลตอบแทนที่โดดเด่นในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น TGE ที่ปรับตัวขึ้นเกือบ 10% ในรอบ 5 วัน สะท้อนถึงความคาดหวังต่อข่าวดีบางอย่าง หรือ ETC ที่ปรับตัวลงแรงกว่า 6% ในช่วงเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มนี้
สำหรับหุ้นขนาดใหญ่ที่น่าจับตา GULF ยังคงเป็นบริษัทที่หลายคนมองว่ามีความน่าสนใจในระยะยาว ด้วยการลงทุนที่หลากหลายและเป้าหมายในการเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ GUNKUL ถูกนักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าเป็นหนึ่งในตัวเต็งสำคัญที่มีโอกาสสูงในการชนะการประมูลโครงการใหม่จาก กกพ. ด้วยความพร้อมของโครงการและประสบการณ์ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีงานเข้ามาช่วยขับเคลื่อนรายได้ในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง GPSC และ BGRIM ก็ยังคงมีลุ้นที่จะได้รับงานประมูลเช่นกัน
มุมมองจากนักวิเคราะห์ที่มีต่อหุ้นกลุ่มนี้มีความหลากหลาย บางรายให้คำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ GULF แม้จะมองว่าราคาอาจได้สะท้อนประโยชน์จากการควบรวมกิจการอื่นไปบ้างแล้ว แต่ยังแนะนำให้ “ถือ” หากมีหุ้นอยู่ ขณะที่ BGRIM และ GPSC มักถูกแนะนำให้ “ถือ” โดยให้เหตุผลถึงโอกาสในการได้รับงานประมูลโครงการใหม่ ส่วน GUNKUL มีนักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยที่แนะนำให้ “ซื้อ” เพิ่ม เนื่องจากมองว่ามีโครงการที่สร้างรายได้ที่มั่นคงอยู่แล้ว และยังมี upside จากการประมูลรอบใหม่ ขณะที่ EGCO ถูกมองว่ายังมีโอกาสในการปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในกลุ่ม
นอกเหนือจากโอกาสในการเติบโตจากโครงการใหม่ๆ สำหรับนักลงทุนที่มองหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลสม่ำเสมอ หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 แสดงให้เห็นว่ามีหุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคหลายตัวที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงเกิน 5% และมีมูลค่าตลาด (Market Cap) เกิน 10,000 ล้านบาท เช่น SPCG, BANPU, TPIPP, TTW (ธุรกิจน้ำประปา), TOP, PTTEP และ PTT ซึ่งหุ้นเหล่านี้อาจเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดจากเงินปันผล ควบคู่ไปกับความมั่นคงของกิจการ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเงินปันผลเหล่านี้เป็นข้อมูลในอดีต และอัตราผลตอบแทนในปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงไปได้
**สรุป: โอกาสที่มาพร้อมความเสี่ยง**
แนวโน้มของตลาดหุ้นพลังงานทดแทนกำลังร้อนแรงขึ้นทุกที ด้วยแรงหนุนที่ชัดเจนจากนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนพลังงานสะอาด และความต้องการพลังงานทางเลือกที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก การประมูลโครงการใหม่ของ กกพ. ถือเป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่สร้างความคึกคักในระยะสั้น และเปิดโอกาสให้บริษัทที่มีความพร้อมได้สร้างการเติบโตในระยะยาว การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ในจังหวะที่ค่า P/E ดูไม่สูงนัก อาจเรียกได้ว่ามีโอกาสที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหากนักลงทุนสามารถคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน และมีการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นทุกประเภท การลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนย่อมมีความเสี่ยง นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัท สัญญาซื้อขายไฟที่ทำไว้ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และที่สำคัญคือ ติดตามนโยบายภาครัฐและแนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด
สำหรับนักลงทุนที่มองภาพระยะยาว โลกกำลังก้าวไปสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งกำลังปรับตัวและเพิ่มการลงทุนในกลุ่มพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง หากใครที่มีความรู้ความเข้าใจ และติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ การจับตาหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในระยะยาวก็อาจจะไม่ทำให้ผิดหวังง่ายๆ เพราะนี่คือกลุ่มธุรกิจที่สอดรับกับเมกะเทรนด์ของโลกอย่างแท้จริง
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่เน้นการเติบโตในระยะยาว หรือมองหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลสม่ำเสมอ หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานทดแทน ล้วนมีแง่มุมที่น่าสนใจให้พิจารณา แต่สิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ คือ การศึกษาข้อมูลด้วยตนเองอย่างรอบคอบ พิจารณาทั้งตัวเลขทางการเงิน ผลตอบแทนในอดีต และการประเมินแนวโน้มในอนาคต หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์การลงทุนของคุณที่สุด เพื่อความปลอดภัยและโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาวครับ