## เบื้องหลังความซ่าที่มากกว่าเครื่องดื่ม: เจาะลึกหุ้น KO หรือ ‘โค้ก’ ทำไมถึงน่าสนใจในสายตาของนักลงทุน?
เมื่อพูดถึง “โค้ก” หลายคนคงนึกถึงเครื่องดื่มสีดำซ่าสดชื่นที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะในงานเฉลิมฉลอง มื้ออาหาร หรือเพียงคลายกระหายในวันที่อากาศร้อน แต่เบื้องหลังความนิยมระดับโลกของเครื่องดื่มนี้ คือบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่อย่าง The Coca-Cola Company ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้สัญลักษณ์ ‘KO’ และไม่ใช่แค่ผู้ผลิตเครื่องดื่มธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าศตวรรษ เป็นเจ้าของแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก และยังเป็นหุ้นสามัญที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนในตลาดต่างประเทศ
**จากร้านขายยา สู่ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มระดับโลก**
เรื่องราวของโค้กเริ่มต้นขึ้นในปี 1886 จากการคิดค้นโดยเภสัชกรชื่อ John Pemberton ในช่วงแรก เครื่องดื่มนี้ถูกขายในร้านขายยาในฐานะยาระงับเมา ก่อนที่ Asa Candler จะเห็นศักยภาพและซื้อสูตรมาในปี 1892 เพื่อก่อตั้ง The Coca-Cola Company อย่างเป็นทางการ การเดินทางเข้าสู่ตลาดทุนครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1919 เมื่อบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กด้วยสัญลักษณ์ KO ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ KO ไม่ได้หยุดอยู่แค่เครื่องดื่มโค้กเพียงอย่างเดียว แต่ได้ขยายอาณาจักรออกไปอย่างมหาศาล

ปัจจุบัน KO เป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ระดับโลก ด้วยการผลิต ทำการตลาด และจัดจำหน่ายเครื่องดื่มหลากหลายกว่า 500 แบรนด์ในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก พอร์ตโฟลิโอของบริษัทครอบคลุมเครื่องดื่มแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมยอดนิยมอย่าง Coca-Cola, Sprite, Fanta ไปจนถึงน้ำดื่มบรรจุขวด (เช่น Dasani), เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬา (อย่าง Powerade), น้ำผลไม้ (เช่น Minute Maid, Simply), เครื่องดื่มจากพืช, ชาพร้อมดื่ม (Fuze Tea), กาแฟพร้อมดื่มหรือร้านกาแฟ (ผ่านแบรนด์ Costa Coffee) และเครื่องดื่มชูกำลัง การกระจายความหลากหลายทั้งในแง่ของประเภทผลิตภัณฑ์และขอบเขตทางภูมิศาสตร์นี้เอง ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจของ KO
**ภาพรวมผลประกอบการและสถานะทางการเงินที่มั่นคง**
ในเชิงการเงิน The Coca-Cola Company แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง หากพิจารณาโครงสร้างรายได้ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 จะเห็นว่าบริษัทมีการกระจายรายได้ไปทั่วโลก โดยภูมิภาคอเมริกาเหนือยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 39.33% ของรายได้ทั้งหมด รองลงมาคือยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 17.83%, ลาตินอเมริกา 13.56%, ธุรกิจ Bottling Investments (หน่วยลงทุนในบริษัทบรรจุขวด) 13.15%, เอเชียแปซิฟิก 12.19% และ Global Ventures 6.42% สัดส่วนนี้ชี้ให้เห็นถึงการพึ่งพิงตลาดหลักอย่างอเมริกาเหนือค่อนข้างสูง แต่ขณะเดียวกันก็มีการกระจายตัวไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่อย่างเอเชียแปซิฟิกที่ยังมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 12% ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงศักยภาพในการเติบโตในอนาคต

ในด้านความสามารถในการทำกำไร KO มีอัตรากำไรที่น่าประทับใจ โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) อยู่ที่ประมาณ 58-60.5% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) อยู่ที่ 23.1% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและการดำเนินงาน รวมถึงอำนาจการตั้งราคาที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ นอกจากนี้ กำไรสุทธิของบริษัทยังมีการเติบโตเฉลี่ยถึง 11.6% ต่อปีในช่วงปี 2562-2566 ซึ่งแสดงถึงการเติบโตอย่างสม่ำเสมอในระยะที่ผ่านมา
เมื่อมองไปยังผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 2 ปี 2024 KO ทำรายได้รวมได้ 12.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ “รายได้ธุรกิจหลัก” หรือ Organic Revenue ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและการควบรวมกิจการ กลับมีการเติบโตสูงถึง 15% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจหลักอย่างแท้จริง อัตรากำไรจากการดำเนินงานก็ปรับตัวดีขึ้นเป็น 21.3% จาก 20.1% ในปีก่อน และกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 0.84 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย ในส่วนของยอดขายรวมตามปริมาณ (Unit Case Volume) ภาพรวมเติบโต 2% โดยได้รับแรงหนุนหลักจากตลาดต่างประเทศ ขณะที่ตลาดอเมริกาเหนือมีการปรับตัวลดลง 1% เล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือการแข่งขันในตลาดนั้นๆ การคาดการณ์กำไรต่อหุ้นทั้งปีของบริษัทก็ยังดูดี โดยคาดว่าจะเติบโตได้ 5-6%
**จุดเด่นที่ทำให้ KO น่าสนใจในมุมมองของนักลงทุน**
KO มีหลายแง่มุมที่ทำให้นักลงทุนระยะยาวมองเห็นคุณค่าและโอกาสในการลงทุน:
1. **แบรนด์ที่แข็งแกร่งไร้คู่เปรียบ:** โค้กไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับและจดจำได้มากที่สุดในโลก มีการบริโภคมากกว่า 2,200 ล้านหน่วยต่อวันในกว่า 200 ประเทศในปี 2566 ความแข็งแกร่งของแบรนด์นี้สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันมหาศาล ทำให้บริษัทสามารถรักษาฐานลูกค้า ตั้งราคาที่เหมาะสม และต่อยอดไปยังผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. **การกระจายความเสี่ยง:** ด้วยการดำเนินธุรกิจในกว่า 200 ประเทศและมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากๆ KO สามารถกระจายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในตลาดใดตลาดหนึ่ง หรือจากผลิตภัณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่งได้เป็นอย่างดี
3. **ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดและกำไร:** KO มีประวัติที่พิสูจน์แล้วในเรื่องความสามารถในการสร้างผลกำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอและแข็งแกร่ง การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพช่วยหนุนให้อัตรากำไรอยู่ในระดับสูง
4. **นโยบายการจ่ายเงินปันผลที่น่าเชื่อถือ:** สำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนในรูปของรายได้สม่ำเสมอ หุ้น KO ถือเป็นตัวเลือกที่โดดเด่น บริษัทมีประวัติการจ่ายเงินปันผลติดต่อกันยาวนานกว่า 60 ปี และที่สำคัญคือ **เพิ่มเงินปันผลทุกปี** ซึ่งทำให้ KO ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Dividend King” หรือ ราชาแห่งหุ้นปันผล อัตราปันผลต่อปีปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.72% (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ก.ย. 2567) และมีการเติบโตของเงินปันผลเฉลี่ย 4% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความสม่ำเสมอและอัตราการเติบโตของเงินปันผลนี้เป็นสัญญาณที่ดีถึงความมั่นคงทางการเงินและความมุ่งมั่นในการคืนกำไรให้กับผู้ถือหุ้น
5. **ศักยภาพการเติบโตในอนาคต:** แม้จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีฐานที่มั่นคง แต่ KO ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่ยังมีสัดส่วนรายได้ไม่สูงนัก นอกจากนี้ บริษัทยังมีการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการและเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เครื่องดื่มจากพืช หรือเครื่องดื่มเฉพาะทางอื่นๆ
6. **แรงหนุนจากนักลงทุนระดับโลก:** หนึ่งในปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไม่น้อย คือการที่มหาเศรษฐีนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffett ผ่านบริษัท Berkshire Hathaway เลือกถือหุ้น KO มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1988 รวมระยะเวลา 36 ปี ทำให้ KO เป็นหุ้นที่ Buffett ถือครองมายาวนานที่สุด ปัจจุบัน Berkshire Hathaway ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยถืออยู่ 9.29% ของหุ้นทั้งหมด หรือราว 400 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 930,000 ล้านบาท หรือประมาณ 23.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่ Buffett ยังคงถือหุ้น KO ในพอร์ตขนาดใหญ่สะท้อนถึงมุมมองในระยะยาวต่อความมั่นคงและคุณค่าของบริษัท
**จากอดีตสู่การลงทุนที่จับต้องได้ในปัจจุบัน**

ประวัติศาสตร์ของ KO มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย นอกจากการก่อตั้งและเข้าตลาดหุ้นแล้ว กลยุทธ์ที่น่าทึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่ง KO ได้ขายโค้กให้กับทหารใน 44 ประเทศในราคาเพียง 5 เซ็นต์ต่อขวด ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขยายการรับรู้แบรนด์ไปทั่วโลกอย่างมหาศาลหลังสงครามสิ้นสุดลง
หากย้อนกลับไปดูการลงทุนในอดีต ข้อมูลชวนให้ทึ่งอย่างยิ่ง หากมีคนลงทุนเพียง 40 ดอลลาร์สหรัฐในหุ้น KO เมื่อครั้งเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1919 และนำเงินปันผลที่ได้รับมาลงทุนซ้ำอยู่ตลอด ปัจจุบันมูลค่าการลงทุนนั้นอาจสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังแห่งการลงทุนระยะยาวและการทบต้นจากเงินปันผลในหุ้นที่มีคุณภาพ
สำหรับนักลงทุนชาวไทยที่สนใจลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ปัจจุบันการเข้าถึงหุ้น KO ทำได้ง่ายขึ้นมาก นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้น KO (สัญลักษณ์: KO, ตลาดหลักทรัพย์: NYSE, สกุลเงิน: USD) ได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นต่างประเทศของโบรกเกอร์ไทยหลายแห่ง เช่น Dime!, Liberator, หรือหลักทรัพย์กสิกรไทย ซึ่งมีขั้นตอนไม่ซับซ้อน และเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยจำนวนขั้นต่ำเพียง 1 หุ้น นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกในการลงทุนผ่านเครื่องมืออื่นๆ เช่น CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาได้ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่า
**สรุปและข้อควรพิจารณา**
โดยสรุป The Coca-Cola Company (KO) ถือเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติโดดเด่นหลายประการที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว ทั้งในด้านความแข็งแกร่งของแบรนด์ในระดับโลก โครงสร้างธุรกิจที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ความสามารถในการทำกำไรที่สม่ำเสมอ นโยบายการจ่ายเงินปันผลที่น่าเชื่อถือระดับ Dividend King และการได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffett นอกจากนี้ ช่องทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนไทยก็เปิดกว้างและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นต่างประเทศย่อมมีความเสี่ยงเฉพาะตัวที่นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ประเด็นสำคัญคือความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจส่งผลต่อผลตอบแทนเมื่อแปลงกลับเป็นสกุลเงินบาท และความผันผวนของตลาดหุ้นต่างประเทศที่อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์ต่างๆ ในระดับโลก
ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้น KO หรือหุ้นต่างประเทศใดๆ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด ทำความเข้าใจลักษณะธุรกิจ แนวโน้มอุตสาหกรรม และประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์และเป้าหมายการลงทุนส่วนบุคคลก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
หุ้น KO อาจไม่ใช่หุ้นที่ให้ผลตอบแทนหวือหวาในระยะสั้น แต่ด้วยพื้นฐานที่มั่นคง แบรนด์ที่แข็งแกร่ง และประวัติการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ ทำให้ KO เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าพิจารณาสำหรับนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคงและคาดหวังการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต.