## มองไกลไปตลาดหุ้นสหรัฐฯ: โอกาสที่ไม่ควรมองข้ามในปี 2024

สำหรับนักลงทุนไทยที่กำลังมองหาโอกาสในการสร้างความมั่งคั่ง หรือต้องการกระจายความเสี่ยงจากตลาดในประเทศ การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมมาอย่างต่อเนื่อง แต่คำถามที่ตามมาคือ “ทำไมต้องเป็นหุ้นสหรัฐฯ ในเวลานี้?” หรือ “จะเริ่มต้นอย่างไรดีในตลาดที่ดูเหมือนจะอยู่ไกลตัว?” บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงภาพรวม แนวโน้ม และโอกาสที่ซ่อนอยู่ในตลาดหุ้นยักษ์ใหญ่แห่งนี้ โดยอ้างอิงจากข้อมูลวิเคราะห์ล่าสุด เพื่อไขข้อข้องใจและให้มุมมองที่เป็นประโยชน์

ภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2024 ฉายแววความสดใสที่มาพร้อมกับโอกาสมากมาย ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนแนวโน้มนี้คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับความก้าวหน้าทางนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของธุรกิจและสังคม นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นเครื่องมือชั้นดีในการกระจายความเสี่ยง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยที่อาจมีความผันผวนสูง และค่อนข้างพึ่งพาอุตสาหกรรมหลักๆ เพียงไม่กี่กลุ่ม เช่น การท่องเที่ยวหรือภาคบริการ การข้ามพรมแดนไปลงทุนในตลาดสหรัฐฯ จึงเป็นการเปิดประตูสู่หลากหลายอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเติบโตสูงและมีสภาพคล่องในการซื้อขายที่มากกว่า

ดัชนี S&P 500 ซึ่งรวบรวม 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจและการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี การติดตามความเคลื่อนไหวและแนวโน้มของดัชนีนี้จะช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพรวมของตลาด และสามารถคาดการณ์ความผันผวนตลอดจนโอกาสในการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้ได้

**เหตุผลที่การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ยังคงน่าสนใจ**

หนึ่งในเหตุผลหลักที่ควรพิจารณาลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ คือศักยภาพในการ กระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสการเติบโต ในเวลาเดียวกัน ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และหลากหลาย การลงทุนในประเทศที่มีโอกาสการเติบโตสูงเช่นนี้ จะช่วยลดการกระจุกตัวของความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนในตลาดเดียวที่อาจเผชิญปัจจัยเฉพาะของประเทศนั้นๆ นอกจากนี้ ตลาดสหรัฐฯ ยังเป็นแหล่งรวมของบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ทำให้สามารถเข้าถึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น เทคโนโลยี AI และพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นภาคส่วนที่อาจไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นนักในตลาดหุ้นไทย

ประการต่อมาคือการ เข้าถึงสภาพเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น แม้จะยังมีความท้าทายอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในปี 2024 ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินธุรกิจครอบคลุมหลายภูมิภาค การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ และบริษัทที่อยู่ในแนวหน้าของนวัตกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ทำให้การลงทุนในตลาดแห่งนี้เป็นการลงทุนที่เชื่อมโยงโดยตรงกับพลวัตการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

หากมองในเชิงเปรียบเทียบระหว่างตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศ (โดยเฉพาะสหรัฐฯ) จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน ตลาดหุ้นไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจขนาดเล็กกว่า มีความผันผวนที่ค่อนข้างสูงและพึ่งพาอุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่มค่อนข้างมาก เช่น การท่องเที่ยว หรือบริการ ทำให้มีความเสี่ยงต่อปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศ ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นประกอบด้วยอุตสาหกรรมที่หลากหลายกว่ามาก มีสภาพคล่องสูง และการเติบโตส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตที่สมดุลกว่า และมีความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะในประเทศใดประเทศหนึ่งได้ดีกว่า

**ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกหุ้นต่างประเทศ**

การลงทุนในต่างประเทศต้องพิจารณาปัจจัยที่แตกต่างจากการลงทุนในประเทศบ้านเรา เริ่มต้นจากการเลือก ภูมิภาค ที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่และมีบริษัทชั้นนำระดับโลก หรืออาจพิจารณาภูมิภาคอื่นๆ อย่างยุโรป หรือเอเชียที่มีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกันไป ถัดมาคือการเลือก อุตสาหกรรม ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี สอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลก เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI หรืออุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก

ข้อมูลล่าสุดยังเผยให้เห็นถึงหุ้นที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจและมีการซื้อขายสูงสุดในปี 2024 ผ่านบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง โดยหุ้นในกลุ่ม 10 อันดับแรกส่วนใหญ่เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทเหล่านี้ เช่น Nvidia (NVDA), Meta Platforms (META), Tesla (TSLA), Microsoft (MSFT), Advanced Micro Devices (AMD), Alphabet (GOOGL) รวมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน AI และแพลตฟอร์มอย่าง Super Micro Computer (SMCI) และ GigaCloud Technology (GCT) รายชื่อเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่กำลังเป็นที่จับตา

**เจาะลึกผลประกอบการและการเติบโตของอุตสาหกรรมเด่น**

ผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ (Big Cap) ในสหรัฐฯ ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 (ต.ค.-ธ.ค.) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับปี 2024 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง บริษัทชั้นนำอย่าง Microsoft (MSFT), Apple (AAPL), Alphabet (GOOGL), Amazon.com (AMZN) และ Meta Platforms (META) ต่างก็มีผลกำไรที่น่าประทับใจ สะท้อนถึงรายได้หลักที่มาจากธุรกิจที่มีความคงทนและยั่งยืน เช่น Microsoft ทำกำไรสุทธิสูงถึง 21.9 พันล้านดอลลาร์ โดยมีรายได้หลักจากธุรกิจเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์ Azure ในขณะที่ Apple ยังคงแข็งแกร่งด้วยยอดขาย iPhone ทำกำไรสุทธิ 33.9 พันล้านดอลลาร์ ด้าน Alphabet ทำกำไรสุทธิ 20.7 พันล้านดอลลาร์ โดยรายได้หลักยังคงมาจากธุรกิจโฆษณาบน Search ส่วน Amazon แม้จะมีกำไรสุทธิ 10.6 พันล้านดอลลาร์จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นหลัก แต่ธุรกิจคลาวด์ (AWS) ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ขณะที่ Meta Platforms มีกำไรสุทธิโดดเด่นถึง 14.0 พันล้านดอลลาร์ จากการโฆษณาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตน ผลการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงทางธุรกิจสูงและสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

มองไปข้างหน้าถึงแนวโน้มกลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นในปี 2024 นอกจากกลุ่ม Big Tech ที่กล่าวมา ยังมีอีกสองกลุ่มที่น่าจับตาเป็นพิเศษ:

1. **กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI:** อย่างที่กล่าวไปว่า AI คือเมกะเทรนด์ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการประมวลผล AI มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทระดับโลกหลายแห่งกำลังเร่งนำ AI มาปรับใช้ในกระบวนการทำงานประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น Twilio (TWLO) ที่ใช้ AI ในการยกระดับการสื่อสารกับลูกค้า Celestina (CLS) ที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยเฉพาะโซลูชันด้าน Connectivity & Cloud และ DocuSign (DOCU) ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยจัดการเอกสารและข้อตกลงดิจิทัล การนำ AI มาใช้ในธุรกิจเหล่านี้ส่งผลดีต่อภาพรวมทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็น EBITDA ที่เพิ่มขึ้น กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งขึ้น หรือการเพิ่มขึ้นของกำไรต่อหุ้น ซึ่งทำให้มูลค่าการประเมินของบริษัทเหล่านี้อยู่ในระดับที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน

2. **กลุ่มอุตสาหกรรมยาและเทคโนโลยีชีวภาพ:** ด้วยแนวโน้มการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทั่วโลก การลงทุนในบริษัทยาและเทคโนโลยีชีวภาพชั้นนำยังคงเป็นที่น่าสนใจ บริษัทใหญ่อย่าง Johnson & Johnson (JNJ), Pfizer (PFE), Merck & Co. (MRK) และ AbbVie (ABBV) เป็นตัวอย่างของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ อย่างไรก็ตาม แต่ละบริษัทก็มีทั้งจุดแข็งและความท้าทายที่แตกต่างกัน บางบริษัทอาจเผชิญกับประเด็นการหมดสิทธิบัตรของยาเรือธง เช่น Pfizer ที่เคยมีบทบาทสำคัญกับวัคซีน COVID-19 กำลังเผชิญความท้าทายด้านรายได้จากวัคซีนที่ลดลง Merck & Co. ซึ่งมี Keytruda ยารักษามะเร็งเป็นยาทำเงินหลัก ก็มีความเสี่ยงจากการพึ่งพายานี้ค่อนข้างมาก ในขณะที่ Johnson & Johnson ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายทางธุรกิจและสถานะทางการเงินมั่นคง เป็นหนึ่งในบริษัทที่จ่ายเงินปันผลต่อเนื่องยาวนานจนถูกจัดเป็น “Dividend King” การพิจารณาลงทุนในกลุ่มนี้จึงต้องดูปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัทอย่างละเอียด

**ทางเลือกสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่สนใจตลาดสหรัฐฯ**

สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นและต้องการเข้าถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่อาจยังไม่มั่นใจในการเลือกซื้อขายหุ้นรายตัวโดยตรง การลงทุนผ่าน **กองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ** ถือเป็นทางเลือกที่สะดวกและช่วยกระจายความเสี่ยงได้ในตัว กองทุนเหล่านี้จะรวบรวมเงินลงทุนจากผู้ลงทุนหลายรายไปลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ตามนโยบายของกองทุน โดยมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยบริหารจัดการให้ ซึ่งมีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ให้เลือกหลากหลาย ทั้งกองทุนที่เน้นหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดกลาง-เล็ก หรือกองทุนที่เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น กองทุนที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี หรือกองทุนที่เน้นหุ้นที่มีการเติบโตสูง การเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายการลงทุน จะเป็นก้าวแรกที่ช่วยให้นักลงทุนหน้าใหม่สามารถเข้าถึงโอกาสในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ นักลงทุนสามารถศึกษาประสบการณ์จากผลการดำเนินงานของตลาดในปีที่ผ่านมาได้ ในปี 2023 ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มท่องเที่ยว/สันทนาการในดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุด โดยเฉพาะหุ้นอย่าง Nvidia และ Meta Platforms ที่ราคาปรับตัวขึ้นหลายเท่าตัว ในขณะเดียวกัน หุ้นบางกลุ่มก็เผชิญกับความท้าทายและราคาปรับตัวลดลง เช่น หุ้นในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน หรือกลุ่มยา/เทคโนโลยีชีวภาพบางบริษัทอย่าง Pfizer และ Moderna ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะ การศึกษาผลการดำเนินงานในอดีตจะช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพความผันผวนและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม

**คำแนะนำก่อนเริ่มต้นและสรุปมุมมอง**

ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่สุดคือการ ศึกษาข้อมูล ให้รอบด้าน ควรทำความเข้าใจภูมิภาคและอุตสาหกรรมที่สนใจอย่างละเอียด รวมถึงพิจารณาผลประกอบการที่ผ่านมาและปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่เราจะลงทุน ไม่ควรลงทุนตามกระแสเพียงอย่างเดียว แต่ควรกำหนดหลักเกณฑ์การลงทุนของตนเองให้ชัดเจน การ กระจายความเสี่ยง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในระดับโลก การจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้มีความสมดุลระหว่างสินทรัพย์และภูมิภาคต่างๆ จะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับนักลงทุนที่สนใจจะเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยตรง สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศผ่านบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยที่มีบริการนี้ หรือหากต้องการความสะดวกและกระจายความเสี่ยงในระดับหนึ่ง การลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นสหรัฐอเมริกาก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ไม่ว่าจะเลือกช่องทางไหน การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากบริษัทหลักทรัพย์หรือแหล่งข้อมูลทางการเงินที่มีความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งจำเป็น

สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนควรจำไว้คือ การลงทุนมีความเสี่ยง ทั้งโอกาสในการได้รับผลตอบแทนและโอกาสในการสูญเสียเงินลงทุน ผู้ลงทุนควรใช้ข้อมูลที่หลากหลายในการประกอบการตัดสินใจ และที่สำคัญคือ ต้องมี กลยุทธ์การบริหารจัดการเงินสด (liquidity management) ที่ดี เพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและความไม่แน่นอนทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ

สรุปแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2024 ยังคงเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่าง AI และพลังงานสะอาด รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดต่างประเทศย่อมมีความซับซ้อนและปัจจัยที่ต้องพิจารณาเพิ่มขึ้น การศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน การทำความเข้าใจความเสี่ยง และการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถคว้าโอกาสในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน.