## หุ้นปันผล: สร้างกระแสเงินสดสู้เงินเฟ้อ… หรือระวัง ‘กับดัก’ ที่ซ่อนอยู่?

เคยนั่งคุยกับเพื่อนชื่อสมชาย เขาบ่นใหญ่ว่าเงินที่เก็บออมไว้ในบัญชีออมทรัพย์แทบจะโตไม่ทันราคาของที่แพงขึ้นทุกวัน รู้สึกเหมือนวิ่งไล่จับเงาตัวเองยังไงไม่รู้ ยิ่งเงินเฟ้อมาเยือน ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดเจน “เงินในบัญชีมันงอกเงยช้ากว่าราคามาม่าหน้าปากซอยอีกแก!” สมชายตัดพ้อ

เรื่องของสมชายไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคนี้ที่ค่าครองชีพขยับสูงขึ้นเร็วกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก เราทุกคนต่างมองหาทางออกที่จะทำให้เงินที่เราหามาได้นั้นงอกเงยได้มากกว่าเดิม ไม่ใช่แค่เก็บอย่างเดียว แต่ต้องทำให้มัน ‘สร้าง’ กระแสเงินสด หรือรายได้เข้ามาเสริมให้เราเรื่อยๆ เหมือนกับที่เราทำงานประจำ หรือมีธุรกิจส่วนตัวนั่นแหละ เพียงแต่ครั้งนี้ เงินต่างหากที่เป็นคนทำงานให้เรา

หลายคนหันมามองการลงทุนในตลาดหุ้น และหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความสนใจเสมอมา โดยเฉพาะในยามที่ตลาดมีความผันผวน หรือต้องการสร้างรายได้ประจำ ก็คือ “หุ้นปันผล” ที่เปรียบเสมือนการรอคอย “กระแสเงินสด” เข้ากระเป๋าอย่างสม่ำเสมอ ไม่เหมือนการรอฝนหน้าแล้งที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ แต่หุ้นปันผลอาจเป็น ‘แหล่งน้ำ’ ที่พอจะพึ่งพาได้บ้าง ถ้าเราเลือกเป็น

**หุ้นปันผลคืออะไร? ทำไมถึงน่าสนใจในยุคเงินเฟ้อ?**

พูดง่ายๆ หุ้นปันผลก็คือ หุ้นของบริษัทที่ทำกำไรได้ดี และมีนโยบายใจดี๊ใจดีที่จะแบ่งปันผลกำไรส่วนหนึ่งคืนกลับมาให้ผู้ถือหุ้นเป็นประจำ อาจจะเป็นรายไตรมาส รายครึ่งปี หรือรายปี ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท เงินที่แบ่งมานี่แหละที่เราเรียกว่า “เงินปันผล” และการลงทุนในหุ้นที่มีประวัติจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ก็เป็นที่มาของ “กระแสเงินสด” ที่เรากำลังตามหานั่นเอง

เสน่ห์ของหุ้นปันผลอยู่ตรงที่ มันช่วยสร้างรายได้แบบ Passive Income หรือรายได้ที่เราไม่ต้องลงแรงกายไปแลกมาโดยตรง ทำให้เรามีเงินเข้ามาหมุนเวียน นำไปใช้จ่าย หรือนำไปลงทุนต่อได้โดยไม่ต้องขายหุ้นที่เราถืออยู่ ซึ่งนี่เป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้กับ “เงินเฟ้อ” เพราะลำพังดอกเบี้ยเงินฝากอาจไม่พอชดเชยอำนาจซื้อที่ลดลงไป แต่เงินปันผลที่ได้รับ หากมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ก็เท่ากับว่าเรามี “ผลตอบแทน” จริงๆ ที่เป็นบวก

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็ชี้ให้เห็นว่า หุ้นในไทยโดยเฉลี่ยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield หรือ DY) อยู่ประมาณ 3% แต่ในภาวะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง การจะได้ผลตอบแทนที่แท้จริงเป็นบวก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเราอาจจะต้องมองหาหุ้นที่จ่ายปันผลในอัตรา 4-5% ขึ้นไป หรืออาจจะสูงกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เงินเฟ้อในขณะนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมหุ้นปันผลจึงเป็นที่สนใจในช่วงที่เงินเฟ้อมาแรง

**แล้วจะเลือก ‘หุ้นปันผล’ ยังไงให้ไม่ติดดอย แล้วยังมีเงินเข้ากระเป๋าเรื่อยๆ?**

คำถามล้านแปดที่นักลงทุนมือใหม่มักจะถามคือ “แล้วจะเลือกยังไงให้ปัง?” ไม่ใช่ว่าเห็นหุ้นตัวไหนปันผลสูงลิ่วก็รีบกระโดดเข้าใส่เลยนะครับ เพราะนั่นอาจจะเป็น ‘กับดัก’ ที่น่ากลัวกว่าที่คุณคิด การเลือกหุ้นปันผลที่ดีต้องพิจารณาหลายปัจจัยควบคู่กันไป ลองมาดูกันทีละขั้นตอน:

1. **มองหาบริษัทที่มั่นคง อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง:** หุ้นปันผลที่ดีมักจะมาจากบริษัทที่ธุรกิจมีความสม่ำเสมอ ไม่ค่อยผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่คนยังต้องใช้ตลอด ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือร้าย เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ประปา) กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพราะธุรกิจเหล่านี้มี “กระแสเงินสด” ที่ค่อนข้างแน่นอน ทำให้มีเงินพอที่จะแบ่งมาจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ

2. **งบการเงินต้องดี กำไรต้องมาสม่ำเสมอ:** เงินปันผลมาจากกำไร ดังนั้นหัวใจสำคัญคือ บริษัทต้องมีกำไรที่เติบโต หรืออย่างน้อยก็สม่ำเสมอในระยะยาว ไม่ใช่แค่ปีใดปีหนึ่งที่กำไรพุ่งกระฉูดแล้วก็หายไป การเข้าไปดู “งบการเงิน” ของบริษัทก็เหมือนการทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ต้องดูว่าเขามีฐานะเป็นยังไง มีหนี้เยอะไหม มีกำไรต่อเนื่องจริงหรือเปล่า การดูอัตราส่วนทางการเงินสำคัญๆ ก็ช่วยได้ เช่น อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity – ROE) ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการทำกำไรจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น ถ้า ROE สูง แสดงว่าบริษัทใช้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. **ดูนโยบายการจ่ายปันผลและความสม่ำเสมอ:** บางบริษัทอาจจะมีกำไรดี แต่มีนโยบายเก็บกำไรไว้เพื่อลงทุนต่อยอดธุรกิจมากกว่าจ่ายปันผล ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าเป้าหมายของเราคือหุ้นปันผล เราก็ต้องมองหาบริษัทที่มีประวัติการจ่ายปันผลที่ “สม่ำเสมอ” และมี “นโยบาย” ที่ชัดเจนว่าจะจ่ายปันผลในอัตราเท่าไหร่ของกำไร ยิ่งบริษัทที่จ่ายปันผลต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งแสดงถึงความมั่นคงและความตั้งใจที่จะแบ่งปันผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น การที่บริษัทมีการซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่บริษัทคืนมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น โดยทำให้จำนวนหุ้นในตลาดลดลง ซึ่งอาจส่งผลดีต่อกำไรต่อหุ้นและราคาหุ้นในระยะยาวได้

4. **อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงอย่างเดียวไม่พอ:** นี่คือจุดที่นักลงทุนมือใหม่มักพลาด การที่เห็นค่า DY สูงๆ อาจจะเกิดจากราคาหุ้นที่ตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งนั่นอาจจะส่งสัญญาณว่าบริษัทกำลังมีปัญหา หรือกำไรอาจจะลดลงในอนาคตก็ได้ ดังนั้น อย่าดูแค่ตัวเลข DY ลอยๆ แต่ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับสุขภาพของบริษัท แนวโน้มธุรกิจ และราคาหุ้นด้วย จำไว้ว่า DY คำนวณจาก (เงินปันผลต่อหุ้น / ราคาหุ้น) x 100 ดังนั้นราคาหุ้นที่ลดลงย่อมทำให้อัตรา DY สูงขึ้นได้โดยที่เงินปันผลจริงๆ อาจไม่ได้เพิ่มขึ้น

5. **ระวังเรื่องวัน XD:** วัน XD หรือวันที่ผู้ซื้อหุ้นจะไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลที่บริษัทประกาศจ่ายในรอบนั้น เป็นวันที่สำคัญมาก นักลงทุนที่ต้องการได้เงินปันผลจะต้องซื้อหุ้นและถือหุ้นอย่างน้อยจนถึงวันขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งปกติคือ 1 วันทำการก่อนวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล (Record Date) ถ้าซื้อหลังจากวัน XD คุณก็เหมือนมาซื้อตั๋วหลังคอนเสิร์ตจบไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์เข้าไปดู แม้หุ้นตัวนั้นจะยังน่าสนใจในระยะยาว การไล่ซื้อหุ้นเพื่อหวังเงินปันผลอย่างเดียวในช่วงใกล้ XD อาจมีความเสี่ยง เพราะราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงในวัน XD สะท้อนมูลค่าเงินปันผลที่จ่ายออกไปแล้ว

**ระวัง ‘กับดักหุ้นปันผล’ ที่ซ่อนอยู่!**

อย่างที่เกริ่นไป การลงทุนในหุ้นปันผลก็มี ‘กับดัก’ ที่ต้องระวัง ไม่ใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป:

* **ปันผลสูงอาจไม่ยั่งยืน:** บางบริษัทอาจจ่ายปันผลสูงแค่ปีเดียวเพราะมีกำไรพิเศษ หรือแย่กว่านั้นคือจ่ายปันผลจากเงินที่ไม่ได้มาจากผลการดำเนินงานปกติ หรือกู้มาจ่าย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งในระยะยาวแล้วไม่ยั่งยืน และอาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลังมีปัญหาทางการเงิน
* **จ่ายปันผลมากเกินไป จนไม่เหลือเงินลงทุน:** บริษัทที่จ่ายเงินปันผลในสัดส่วนที่สูงมากๆ ของกำไร (Payout Ratio สูง) อาจไม่มีเงินเหลือเพียงพอที่จะนำไปลงทุนพัฒนาธุรกิจ สร้างการเติบโตในอนาคต ซึ่งจะส่งผลเสียต่อบริษัทในระยะยาว และอาจทำให้กำไรและเงินปันผลในอนาคตลดลงได้
* **ราคาหุ้นตกหนักกว่าเงินปันผลที่ได้:** แม้จะได้เงินปันผล แต่ถ้าในช่วงที่เราถือหุ้น ราคาหุ้นลดลงไปมากกว่าจำนวนเงินปันผลที่ได้รับ ผลตอบแทนโดยรวมของเราก็ยังติดลบอยู่ดี จำไว้ว่า “ผลตอบแทนรวม” คือ เงินปันผลที่ได้รับ บวก/ลบ กำไร/ขาดทุนจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป การได้เงินปันผลดี แต่อย่าลืมติดตามราคาหุ้นด้วย

**แล้วจะเริ่มตรงไหนดีล่ะ?**

สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นปันผล ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีเครื่องมือช่วยคัดกรองเบื้องต้น นั่นคือ **ดัชนี SET High Dividend (SETHD)** ซึ่งเป็นดัชนีที่คำนวณจากราคาหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง มีสภาพคล่องในการซื้อขาย และมีประวัติการจ่ายปันผลสูงและต่อเนื่องสม่ำเสมอ หุ้นที่อยู่ในดัชนี SETHD นี่แหละเป็นลิสต์รายชื่อเบื้องต้นให้เราไปทำการบ้านต่อ ไม่ได้หมายความว่าทุกตัวจะดีเลิศ แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการค้นหา

เมื่อได้รายชื่อหุ้นที่สนใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ “ทำการบ้าน” ศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างจริงจัง ทั้งผลประกอบการ ฐานะการเงิน นโยบายการจ่ายปันผล แนวโน้มอุตสาหกรรม รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ

สำหรับการเริ่มต้นซื้อขายหุ้น สามารถทำได้โดยการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ต่างๆ เช่น บล.กรุงศรี, บล.บัวหลวง, บล.เคเคพี หรืออื่นๆ อีกมากมาย ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันซื้อขายหุ้นที่ใช้งานง่าย ทำให้การเข้าถึงข้อมูลและส่งคำสั่งซื้อขายสะดวกสบายขึ้นมาก

**สรุปคือ:**

การลงทุนในหุ้นปันผลเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการสร้าง “กระแสเงินสด” เพื่อช่วยรับมือกับเงินเฟ้อ และเพิ่ม “ผลตอบแทน” ให้เงินออมงอกเงย แต่หัวใจสำคัญไม่ใช่แค่การดูตัวเลขเงินปันผลที่สูงที่สุดเท่านั้น แต่คือการเลือก “บริษัทที่ดี” ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน และมีนโยบายการจ่ายปันผลที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ

อย่าลืมว่า การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยงเสมอ แม้แต่หุ้นปันผลที่ดูเหมือนจะปลอดภัย ก็ยังมีกับดักซ่อนอยู่ หากเราไม่ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำการบ้านเยอะๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน เราก็อาจจะตกหลุมพรางของ “กับดักหุ้นปันผล” ได้

ท้ายที่สุด การลงทุนก็เหมือนการเดินทาง การมีความรู้ ความเข้าใจ และการวางแผนที่ดี จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นคง และสามารถสร้าง “กระแสเงินสด” ที่แท้จริงจากเงินลงทุนของเราได้

**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน**