## แกะกล่องเครื่องมือลงทุน: ทำความเข้าใจ “หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นกู้” เลือกแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ
ในโลกของการเงินและการลงทุนที่ดูเหมือนซับซ้อน ใครหลายคนคงเคยได้ยินชื่อคุ้นหูอย่าง ‘หุ้น’ หรือ ‘หุ้นกู้’ แต่รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วเครื่องมือเหล่านี้ไม่ได้มีแค่แบบเดียวง่ายๆ และแต่ละประเภทก็มีคาแรคเตอร์เฉพาะตัวที่เหมาะกับนักลงทุนที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจความเหมือนและความต่างของเครื่องมือเหล่านี้คือประตูบานแรกสู่การลงทุนอย่างมีหลักการ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มศึกษา หรือนักลงทุนที่อยากทบทวนและจัดพอร์ตให้แข็งแกร่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกเครื่องมือการลงทุนพื้นฐานอย่าง หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นกู้ ที่บริษัทต่างๆ ใช้ในการระดมทุนและนักลงทุนใช้ในการสร้างผลตอบแทน
ลองนึกภาพตามว่าบริษัทต่างๆ เวลาต้องการขยายกิจการ สร้างโรงงานใหม่ หรือวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ พวกเขาต้องการเงินทุนมหาศาล ซึ่งเงินทุนนี้ส่วนหนึ่งมาจากผลกำไรที่สะสมไว้ แต่อีกส่วนที่สำคัญก็มาจากการระดมทุนจากประชาชนทั่วไปหรือสถาบันต่างๆ ผ่าน “ตลาดทุน” นี่เอง และเครื่องมือที่ใช้ระดมทุนหลักๆ ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ **”ตราสารหนี้”** ซึ่งก็คือ ‘หุ้นกู้’ และ **”ตราสารทุน”** ซึ่งรวมถึง ‘หุ้นสามัญ’ และ ‘หุ้นบุริมสิทธิ’
หัวใจสำคัญที่ทำให้เครื่องมือเหล่านี้แตกต่างกันคือ “สถานะ” ของผู้ถือ การถือตราสารทุนหมายถึงการเป็น “เจ้าของ” ส่วนการถือตราสารหนี้คือการเป็น “เจ้าหนี้” ซึ่งสถานะที่ต่างกันนี้เองนำไปสู่สิทธิ ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่ไม่เหมือนกันเลย
**หุ้นสามัญ: ความเป็นเจ้าของที่มาพร้อมโอกาสและความท้าทาย**
มาเริ่มต้นกันที่หุ้นสามัญ ซึ่งน่าจะเป็นประเภทที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยมากที่สุด การที่คุณเป็นเจ้าของหุ้นสามัญในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง หมายความว่าคุณกำลังเป็น “เจ้าของร่วม” ของบริษัทนั้นๆ ในสัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่คุณถืออยู่ สถานะความเป็นเจ้าของนี้มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญ นั่นคือ “สิทธิออกเสียง” ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น คุณสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของบริษัท เช่น การเลือกตั้งคณะกรรมการบริษัท การอนุมัติงบประมาณ หรือการกำหนดทิศทางในอนาคต

ในแง่ของผลตอบแทน ผู้ถือหุ้นสามัญมีโอกาสได้รับผลตอบแทนหลักๆ สองทาง หนึ่งคือ **เงินปันผล** ซึ่งเป็นส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น แต่จำไว้ว่าการจ่ายเงินปันผลไม่ได้บังคับตายตัว ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทและมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น หากบริษัทกำไรดี ผู้ถือหุ้นก็มีโอกาสได้เงินปันผลมาก แต่ถ้าขาดทุน ก็อาจไม่ได้ปันผลเลย อีกทางคือ **กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น (Capital Gain)** หากบริษัทเติบโต มีผลประกอบการดี หรือมีปัจจัยบวก ราคาหุ้นในตลาดก็มีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้น ทำให้คุณขายหุ้นได้ในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมา
แต่เหรียญอีกด้านของหุ้นสามัญคือ “ความเสี่ยง” เนื่องจากราคาหุ้นสามัญขึ้นลงตามปัจจัยหลากหลาย ทั้งผลประกอบการของบริษัท สภาพเศรษฐกิจโดยรวม การเมือง หรือแม้แต่ข่าวลือ ทำให้มีความผันผวนสูง และที่สำคัญที่สุด ในกรณีที่บริษัทประสบปัญหาถึงขั้นต้องเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นสามัญจะอยู่ในลำดับสุดท้ายที่จะได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สินของบริษัท นั่นหมายความว่าเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับการชำระคืนก่อน ถ้าเหลือถึงผู้ถือหุ้นสามัญก็จะได้ตามสัดส่วน ซึ่งบ่อยครั้งอาจจะไม่เหลืออะไรเลย นี่คือความเสี่ยงสูงสุดของการเป็นเจ้าของในลำดับท้ายสุด
**หุ้นบุริมสิทธิคือ: ลูกผสมที่ให้สิทธิพิเศษเหนือหุ้นสามัญ**
แล้ว **หุ้นบุริมสิทธิคือ** อะไรกันแน่? หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้เท่าหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิอาจเรียกได้ว่าเป็น “ลูกผสม” ระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นกู้ เพราะมีคุณสมบัติบางอย่างของทั้งสองอย่างรวมกัน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสถานะเป็น “เจ้าของ” บริษัทเช่นเดียวกับผู้ถือหุ้นสามัญ แต่สิ่งที่เป็นข้อจำกัดหลักๆ คือ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะ “ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง” ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น (เว้นแต่จะระบุไว้เป็นพิเศษในเงื่อนไขการออกหุ้น)

แต่สิ่งที่หุ้นบุริมสิทธิได้มาทดแทนการเสียสิทธิ์ออกเสียงคือ “สิทธิพิเศษ” ในการได้รับผลตอบแทนและลำดับการได้รับคืนทุนที่เหนือกว่าหุ้นสามัญ โดยปกติแล้ว หุ้นบุริมสิทธิมักจะให้ “เงินปันผลในอัตราที่แน่นอน” และที่สำคัญ จะได้รับเงินปันผล “ก่อน” ผู้ถือหุ้นสามัญเสมอ แม้ว่าบริษัทจะมีกำไรน้อยก็ตาม (แต่ถ้าขาดทุนมากจนจ่ายปันผลไม่ได้เลยก็อาจจะไม่ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของหุ้นบุริมสิทธิ เช่น ประเภทสะสมเงินปันผลที่ค้างจ่ายไว้จ่ายในภายหลังได้) นอกจากนี้ ในกรณีที่บริษัทต้องเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับเงินคืนทุน “ก่อน” ผู้ถือหุ้นสามัญเสมอ (แต่ยังคงได้รับคืนหลังจากเจ้าหนี้ หรือผู้ถือหุ้นกู้)
ด้วยสิทธิพิเศษในการได้รับเงินปันผลและลำดับการคืนทุนที่เหนือกว่าหุ้นสามัญ ทำให้หุ้นบุริมสิทธิโดยทั่วไปมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ ความผันผวนของราคาก็มีแนวโน้มที่จะน้อยกว่า เพราะผลตอบแทน (เงินปันผล) มักจะค่อนข้างคงที่และได้รับสิทธิ์ก่อน แต่ในทางกลับกัน ศักยภาพในการเติบโตของราคาหุ้นบุริมสิทธิมักจะไม่สูงเท่าหุ้นสามัญที่ราคาอาจพุ่งขึ้นได้มากหากบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ หุ้นบุริมสิทธิบางประเภทอาจมีเงื่อนไขให้บริษัทสามารถ “ไถ่ถอน” หรือซื้อหุ้นคืนได้ ทำให้ผู้ถืออาจไม่ได้ถือลงทุนไปตลอดอย่างที่ตั้งใจไว้
**หุ้นกู้: บทบาทของเจ้าหนี้ที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง**
มาถึงเครื่องมือสุดท้าย คือ “หุ้นกู้” ซึ่งแตกต่างจากหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิอย่างชัดเจน เพราะการซื้อหุ้นกู้หมายถึงการที่คุณกำลังเป็น “เจ้าหนี้” ของบริษัทหรือหน่วยงานรัฐที่ออกหุ้นกู้นั้น คุณไม่ได้เป็นเจ้าของร่วม แต่กำลังให้บริษัทกู้เงิน โดยบริษัทจะออกเอกสารรับรองการเป็นหนี้ (หุ้นกู้) ให้คุณเป็นหลักฐาน

ผลตอบแทนหลักของการลงทุนในหุ้นกู้คือ “ดอกเบี้ย” ซึ่งโดยทั่วไปจะจ่ายให้เป็นงวดๆ อย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น ทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน และเมื่อถึงวันครบกำหนดอายุของหุ้นกู้ (Maturity Date) บริษัทผู้ออกจะคืน “เงินต้น” ที่คุณลงทุนไปทั้งหมด การได้รับดอกเบี้ยที่แน่นอนและรู้กำหนดเวลาคืนเงินต้นทำให้หุ้นกู้เป็นเครื่องมือที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างคงที่และคาดการณ์ได้
จุดเด่นที่สุดของหุ้นกู้คือ “ลำดับการได้รับชำระคืน” ในกรณีที่บริษัทมีปัญหาทางการเงินหรือต้องเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นกู้ซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ จะได้รับชำระหนี้คืนเป็นกลุ่มแรกๆ ก่อนผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิและผู้ถือหุ้นสามัญเสมอ ด้วยเหตุนี้ หุ้นกู้จึงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่มีความเสี่ยง “ต่ำกว่า” หุ้นทั้งสองประเภทโดยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ความเสี่ยงหลักๆ ที่ต้องพิจารณาคือ **ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk)** หรือความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออก หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้มีฐานะทางการเงินไม่แข็งแกร่ง หรือประสบปัญหาอย่างหนัก อาจมีโอกาสผิดนัดชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้คุณไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวัง หรืออาจจะไม่ได้เงินต้นคืนเลยก็ได้ อีกความเสี่ยงที่สำคัญคือ **ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)** หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับสูงขึ้น ราคาของหุ้นกู้เดิมที่จ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าก็จะลดลง ซึ่งอาจทำให้คุณขาดทุนหากจำเป็นต้องขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด
**สรุปความแตกต่างและใครเหมาะกับอะไร**
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองมาสรุปความแตกต่างของเครื่องมือทั้งสามประเภทนี้ในมุมต่างๆ:
* **สถานะ:** หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิเป็น “เจ้าของ” ส่วนหุ้นกู้เป็น “เจ้าหนี้”
* **สิทธิออกเสียง:** หุ้นสามัญมีสิทธิ์ออกเสียง หุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่ไม่มี หุ้นกู้ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง
* **ผลตอบแทน:** หุ้นสามัญได้ปันผล (ไม่คงที่) และกำไรราคา (ไม่แน่นอน) หุ้นบุริมสิทธิได้ปันผล (มักจะคงที่และได้รับก่อน) และกำไรราคา (น้อยกว่าหุ้นสามัญ) หุ้นกู้ได้ดอกเบี้ย (คงที่) และคืนเงินต้น
* **ลำดับได้รับชำระคืน (เมื่อเลิกกิจการ):** หุ้นกู้ > หุ้นบุริมสิทธิ > หุ้นสามัญ (จากก่อนไปหลัง)
* **ความเสี่ยง (โดยทั่วไป):** หุ้นสามัญ (สูง) > หุ้นบุริมสิทธิ (ปานกลาง) > หุ้นกู้ (ต่ำ)
* **ศักยภาพผลตอบแทนสูงสุด:** หุ้นสามัญ (สูงมาก) > หุ้นบุริมสิทธิ (ปานกลาง) ≈ หุ้นกู้ (ค่อนข้างต่ำ)
* **ภาระของผู้ที่ออกตราสาร:** บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นหุ้นกู้ตามกำหนด ต้องจ่ายปันผลหุ้นบุริมสิทธิก่อนหุ้นสามัญ ส่วนหุ้นสามัญจ่ายปันผลเมื่อมีกำไรและมีมติเห็นชอบ
จากความแตกต่างเหล่านี้ เราพอจะเห็นได้ว่าเครื่องมือแต่ละประเภทเหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมาย ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และความต้องการสภาพคล่องที่แตกต่างกัน
* **หุ้นสามัญ** เหมาะสำหรับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงสูงได้ ต้องการโอกาสในการเติบโตของเงินลงทุนอย่างก้าวกระโดด และสามารถลงทุนระยะยาวได้ โดยไม่ได้ต้องการรายได้ที่แน่นอนจากเงินปันผลเป็นหลัก
* **หุ้นบุริมสิทธิ** เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอจากเงินปันผล ยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง (ต่ำกว่าหุ้นสามัญ) และไม่ได้กังวลกับการไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในบริษัท เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการความมั่นคงมากกว่าหุ้นสามัญแต่ยังอยากเป็นเจ้าของอยู่บ้าง
* **หุ้นกู้** เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงสูง ไม่ชอบความผันผวนของราคา ต้องการรายได้ที่สม่ำเสมอในรูปดอกเบี้ย และให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นเป็นหลัก โดยต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือ (เครดิต) ของผู้ออกหุ้นกู้เป็นสำคัญ
**สรุป**
การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นกู้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่คิดจะก้าวเข้าสู่โลกของการลงทุน เครื่องมือแต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ไม่มีเครื่องมือใดที่ “ดีที่สุด” สำหรับทุกคน มีเพียงแต่เครื่องมือที่ “เหมาะสมที่สุด” กับเป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสถานะทางการเงินของตัวคุณเองเท่านั้น การเรียนรู้ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ การรู้จักเครื่องมือเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้คุณสร้างพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งและบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้ในระยะยาว.