## ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดกี่โมง? เรื่องควรรู้ก่อนลุยสนามหุ้นแดนอินทรี
ค่ำคืนหนึ่ง คุณมายด์ นักลงทุนมือใหม่ นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ดวงตาจับจ้องที่กราฟราคาหุ้นต่างประเทศ ความสงสัยผุดขึ้นมาในใจ เธอหันไปถามเพื่อนผู้มีประสบการณ์ว่า “อาหว อีกไม่นานก็จะถึงเวลาเข้าเทรดตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้วเนี่ย เราเคยได้ยินมาว่าตลาดอเมริกาเปิดตอนกลางคืนใช่ไหม ตามเวลาบ้านเรามันกี่โมงกันแน่?”
คำถามจากคุณมายด์สะท้อนถึงความสนใจของนักลงทุนไทยจำนวนมาก ที่ต้องการขยายพอร์ตไปยังตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งรวมบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมและเศรษฐกิจโลก การทราบเวลาทำการของตลาดอย่างถูกต้องจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุน บทความนี้จะพาไปเจาะลึกเรื่องเวลาเปิด-ปิดตลาดหุ้นสหรัฐฯ พร้อมทั้งข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่นักลงทุนควรรู้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่ตลาดแห่งนี้ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก ค่าใช้จ่าย ภาษี และความเสี่ยงที่ต้องเตรียมรับมือ
**ทำไมตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย?**
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสหรัฐอเมริกาคือศูนย์กลางของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก ชื่อของ Apple, Google, Microsoft, Amazon และอีกมากมาย ล้วนเป็นที่คุ้นหูและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตประจำวันของเรา บริษัทเหล่านี้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

นอกเหนือจากแรงดึงดูดด้านเทคโนโลยีแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะภายหลังการระบาดของโควิด-19 การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในภาพรวม
ยิ่งไปกว่านั้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความน่าสนใจในการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนักลงทุนไทยด้วย เพราะนอกจากผลตอบแทนที่ได้จากราคาหุ้นหรือเงินปันผลแล้ว นักลงทุนยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อแปลงเงินกำไรที่ได้กลับมาเป็นเงินบาทไทย
ส่วนนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แม้จะมีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing – QE) มาอย่างต่อเนื่อง แต่บทบาทของ QE ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงเมื่อตัวเลขทางเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมั่นคง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามและส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาด
**ทำความรู้จัก NASDAQ: ตลาดหุ้นแห่งนวัตกรรม**
หากพูดถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ชื่อของ NASDAQ มักจะถูกกล่าวถึงเสมอ NASDAQ ย่อมาจาก National Association of Securities Dealers Automated Quotations ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1971 ถือเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งที่สองของสหรัฐฯ และเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกที่นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการซื้อขายเต็มรูปแบบ ทำให้การทำธุรกรรมมีประสิทธิภาพสูง

NASDAQ เป็นที่ตั้งของบริษัทจดทะเบียนประมาณ 4,000 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่และบริษัทที่เน้นการเติบโตสูง (Growth Stock) เช่นเดียวกับบริษัทที่คุณมายด์คุ้นเคย การลงทุนในตลาดแห่งนี้จึงมักมาพร้อมกับโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดอื่น ๆ แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่าเช่นกัน เนื่องจากราคาหุ้นมักสะท้อนความคาดหวังในการเติบโตในอนาคตค่อนข้างมาก
**เจาะเวลาทำการหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ตามเวลาประเทศไทย)**
หัวใจสำคัญที่คุณมายด์และนักลงทุนทุกคนต้องรู้คือ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดกี่โมง?” เวลาทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นช่วงเวลาปกติหรือช่วงที่มีการปรับเวลา Daylight Saving Time (DST)
* **ช่วงเวลามาตรฐาน (Standard Time):** โดยทั่วไปจะเริ่มประมาณช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงต้นเดือนมีนาคม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (เช่น NYSE, NASDAQ) จะเปิดทำการตั้งแต่เวลา 21:30 น. ถึง 04:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
* **ช่วง Daylight Saving Time (DST):** โดยทั่วไปจะเริ่มประมาณช่วงต้นเดือนมีนาคม ไปจนถึงปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน ในช่วงนี้ สหรัฐฯ จะเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง ทำให้เวลาทำการของตลาดหุ้นเมื่อเทียบกับเวลาประเทศไทย เร็วขึ้นตามไปด้วย โดยจะเปิดทำการตั้งแต่เวลา 20:30 น. ถึง 03:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
Daylight Saving Time หรือ “ช่วงเวลาประหยัดแสงสว่าง” เป็นการปรับนาฬิกาให้เร็วขึ้นในช่วงฤดูร้อน เพื่อให้มีช่วงเวลาที่มีแสงแดดยามเย็นยาวนานขึ้น ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาใช้ระบบนี้ ดังนั้น นักลงทุนไทยที่ต้องการซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ จึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่วงที่กำลังจะทำการซื้อขายนั้น เป็นช่วงเวลามาตรฐานหรือช่วง DST เพื่อที่จะไม่พลาดช่วงเวลาสำคัญ
ตลาดหลักที่เปิดทำการในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange – NYSE), ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ และตลาดหลักทรัพย์อเมริกัน (NYSE American หรือชื่อเดิมคือ NYSE MKT)
**ช่วงเวลานอกทำการปกติ (Extended Hours): โอกาสและความเสี่ยง**
นอกเหนือจากเวลาทำการปกติแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังอนุญาตให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ในช่วงเวลานอกทำการ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองช่วงหลักๆ คือ Premarket (ก่อนตลาดเปิด) และ Post Market (หลังตลาดปิด)
* **Premarket (ก่อนตลาดเปิด):** เป็นช่วงที่นักลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการอย่างเป็นทางการ
* ในช่วง DST: ประมาณ 15:00 น. ถึง 20:30 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
* ในช่วงเวลามาตรฐาน: ประมาณ 16:00 น. ถึง 21:30 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
* **Post Market (หลังตลาดปิด):** เป็นช่วงที่นักลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้หลังจากที่ตลาดได้ปิดทำการไปแล้ว
* ในช่วง DST: ประมาณ 03:00 น. ถึง 07:00 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
* ในช่วงเวลามาตรฐาน: ประมาณ 04:00 น. ถึง 08:00 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
อย่างไรก็ตาม การซื้อขายในช่วง Extended Hours นี้ มีปริมาณการซื้อขาย (Volume) ค่อนข้างต่ำกว่าในช่วงเวลาทำการปกติ ทำให้ราคาอาจมีความผันผวนสูงและส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อเสนอขาย (Bid-Ask Spread) อาจกว้างกว่าปกติ นักลงทุนที่ต้องการซื้อขายในช่วงนี้จึงต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย
**กฎเกณฑ์เบื้องต้นและเรื่องควรรู้ในการซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ สำหรับนักลงทุนไทย**
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจเข้าสู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีกฎเกณฑ์และเรื่องปฏิบัติบางอย่างที่ควรรู้:
1. **การเปิดบัญชีลงทุน:** นักลงทุนต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยหลายแห่งมีบริการนี้
2. **หน่วยการซื้อขาย:** การซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีหน่วยการซื้อขายขั้นต่ำสุดที่ยืดหยุ่นมาก โดยสามารถซื้อขายได้ขั้นต่ำเพียง **1 หุ้น** ต่างจากตลาดหุ้นไทยที่มีขั้นต่ำเป็น Lot (ปกติ 100 หุ้น)
3. **การชำระราคา (Settlement):** การชำระราคาค่าซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ จะใช้เวลา **T+2 วันทำการ** (คือ วันซื้อขาย + 2 วันทำการ) ซึ่งเร็วกว่าในอดีตที่เป็น T+3
4. **ค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย:** การซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายหลักๆ คือ **ค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์** ซึ่งแต่ละบริษัทหลักทรัพย์จะมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป อาจคิดเป็นอัตราคงที่ต่อหุ้น อัตราคงที่ต่อคำสั่ง หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าซื้อขาย นอกจากนี้ อาจมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียมจากตลาดหลักทรัพย์ แต่โดยส่วนใหญ่ ค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์จะเป็นส่วนหลักที่นักลงทุนต้องพิจารณา ควรศึกษาข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้บริการอย่างละเอียด
5. **เรื่องภาษีสำหรับนักลงทุนไทย:**
* **ภาษี Capital Gain:** โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนไทยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและไม่ได้มีธุรกิจหรือการค้าในสหรัฐฯ มัก **ไม่ต้องเสียภาษี Capital Gain** ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากกำไรที่ได้จากการขายหุ้น อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนนำเงินกำไรจากการลงทุนในต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศไทยภายในปีภาษีเดียวกับที่ได้กำไรมา ก็อาจจะต้องนำกำไรส่วนนั้นมารวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีในประเทศไทยตามกฎหมายไทย
* **ภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากเงินปันผล:** หากหุ้นที่คุณลงทุนมีการจ่ายเงินปันผล ประเทศสหรัฐฯ จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินปันผลในอัตรา 30% อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยสามารถยื่นเอกสาร **แบบฟอร์ม W-8BEN** ให้กับบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณเปิดบัญชี ซึ่งจะช่วยลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินปันผลจากสหรัฐฯ เหลือเพียง 15% ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ
* **ภาษีในประเทศไทย:** เงินได้จากเงินปันผลที่ได้รับและนำเข้ามาในประเทศไทย อาจต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยด้วย ขึ้นอยู่กับเกณฑ์และกฎหมายภาษีของไทยในขณะนั้น
6. **วันหยุดทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ:** ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีวันหยุดทำการตามวันหยุดราชการและวันสำคัญต่างๆ เช่น New Year’s Day, Martin Luther King Jr. Day, Presidents’ Day, Good Friday, Memorial Day, Independence Day, Labour Day, Thanksgiving Day, และ Christmas Day สิ่งสำคัญคือ นักลงทุนควรตรวจสอบตารางวันหยุดทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออยู่เสมอ เพราะอาจมีการปรับเปลี่ยน หรือบางวันอาจเปิดทำการเพียงครึ่งวัน

**มาตรการคุ้มครองนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ**
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมาตรการและกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อช่วยสร้างความเป็นธรรมและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับนักลงทุน เช่น
* **กฎ Pattern Day Trade (PDT) Protection:** กฎนี้มีขึ้นเพื่อป้องกันนักลงทุนที่มีเงินทุนในบัญชีซื้อขาย **ต่ำกว่า 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ** ทำการซื้อขายหุ้นตัวเดิมแบบไปกลับ (ซื้อและขายในวันเดียวกัน) มากเกินไป โดยจำกัดให้ไม่เกิน 3 ครั้ง ภายใน 5 วันทำการติดต่อกัน หากมีการทำ Day Trade เกินกว่าที่กำหนด นักลงทุนอาจถูกระงับการซื้อขาย Day Trade ชั่วคราวได้ กฎนี้ช่วยให้นักลงทุนรายย่อยที่ใช้เงินทุนไม่มาก ไม่ตกอยู่ในความเสี่ยงจากการซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้นที่รุนแรงเกินไป
* **มาตรการ Limit Up Limit Down (LULD):** เป็นกลไกอัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่อลดความผันผวนที่รุนแรงและฉับพลันของราคาหุ้น โดยระบบจะกำหนดกรอบราคา Limit Up และ Limit Down ไว้ หากราคาหุ้นเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงเกินกรอบที่กำหนด การซื้อขายหุ้นตัวนั้นจะถูกหยุดชั่วคราวโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ตลาดมีเวลาในการประเมินข้อมูลและป้องกันการเกิดเหตุการณ์ Flash Crash (ราคาหุ้นดิ่งลงอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ)
**บทสรุป**
การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการเข้าถึงบริษัทชั้นนำระดับโลกและศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการลงทุนทุกรูปแบบ การศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับคำถามของคุณมายด์เกี่ยวกับ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดกี่โมง?” คำตอบคือเวลาทำการหลักจะอยู่ระหว่างช่วงค่ำถึงเช้ามืดของวันถัดไปตามเวลาประเทศไทย ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลามาตรฐานและ Daylight Saving Time นักลงทุนต้องหมั่นตรวจสอบเวลาให้ถูกต้องเสมอ
นอกจากเวลาทำการแล้ว การเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุผลในการลงทุน ความน่าสนใจของตลาดเช่น NASDAQ ค่าใช้จ่าย ภาษีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมาตรการคุ้มครองนักลงทุนอย่างกฎ PDT และ LULD จะช่วยให้นักลงทุนมีความพร้อมและสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การลงทุนอย่างรู้เท่าทัน จะเป็นกุญแจสำคัญในการคว้าโอกาสและบริหารความเสี่ยงในตลาดหุ้นแดนอินทรีแห่งนี้.