## กว่าจะเป็น ‘เมย์แบงก์ กิมเอ็ง’: ถอดรหัสโบรกเกอร์ชั้นนำ กับสมรภูมิการแข่งขันในตลาดหุ้นไทย

ในโลกแห่งการลงทุนที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวและโอกาส บางครั้งการเริ่มต้นหรือการทำความเข้าใจกลไกต่างๆ อาจทำให้หลายคนรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี หรือจะเลือกใครเป็นเพื่อนร่วมทางในตลาดทุนนี้ดี เรื่องราวของ “บริษัทหลักทรัพย์” หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “โบรกเกอร์” จึงเป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะโบรกเกอร์ทำหน้าที่เสมือนสะพานเชื่อมระหว่างนักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ กับตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ ช่วยให้การซื้อขายหลักทรัพย์เป็นไปได้ง่ายขึ้น และวันนี้ เราจะพาไปเจาะลึกเรื่องราวของหนึ่งในโบรกเกอร์ชั้นนำที่อยู่คู่ตลาดหุ้นไทยมาอย่างยาวนาน นั่นคือ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET ที่ไม่ได้มีเพียงประวัติอันยาวนาน แต่ยังมีเรื่องราวการปรับตัว และการเผชิญหน้ากับการแข่งขันอันดุเดือดในวงการ

**จาก ‘นิธิภัทร’ สู่ ‘กิมเอ็ง’ และ ‘เมย์แบงก์’: เส้นทางแห่งการเติบโตและปรับตัว**

ประวัติศาสตร์ของ MBKET เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2533 ในชื่อ บริษัทเงินทุน นิธิภัทร จำกัด ก่อตั้งโดยคุณไพศาล พิริยะธนากุล ก้าวแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ เกิดขึ้นเมื่อบริษัทได้เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2537 แต่เส้นทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนัก เพราะไม่นานหลังจากนั้น ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นบททดสอบสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด

จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี พ.ศ. 2541 เมื่อ บริษัท กิมเอ็ง โฮลดิ้งส์ จำกัด จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีศักยภาพ ได้เข้ามาซื้อกิจการ การผนึกกำลังครั้งนี้ส่งผลให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนสามารถคว้าส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งได้ในปี พ.ศ. 2545 ภายใต้การบริหารของกลุ่มกิมเอ็ง บริษัทได้มีการยกระดับตัวเองครั้งสำคัญ โดยแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ถือเป็นอีกก้าวประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำสถานะผู้นำในขณะนั้น

เส้นทางการเติบโตยังคงดำเนินต่อไป ในปี พ.ศ. 2546 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนี SET50 และ MSCI ซึ่งช่วยเพิ่มการยอมรับในระดับสากล และเปิดโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น บริษัทไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา โดยได้ริเริ่มพัฒนาระบบบริการออนไลน์ ทั้ง “ระบบบทวิเคราะห์-วิจัยออนไลน์ (KELive)” และ “ระบบซื้อขายอินเทอร์เน็ต (KETrade)” เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยบริษัทในเครือได้รับใบอนุญาตให้ทำธุรกิจตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และธุรกิจยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending – SBL) ในปี พ.ศ. 2548 และก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (Gold Futures) ในปี พ.ศ. 2552 เป็นการเพิ่มทางเลือกและเครื่องมือการลงทุนให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ระดับภูมิภาคเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2554 เมื่อกลุ่มเมย์แบงก์ (Maybank) จากประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ได้เข้าถือหุ้นใหญ่ การเข้ามาของเมย์แบงก์ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนและเครือข่ายในระดับภูมิภาคให้กับบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็งฯ อย่างมหาศาล แม้จะเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจหลักในด้านตราสารทุน อนุพันธ์ และวาณิชธนกิจ ภายใต้ชื่อใหม่ที่สะท้อนถึงการรวมตัวของสองยักษ์ใหญ่ นั่นคือ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET ในปัจจุบัน

**สมรภูมิการแข่งขันและปรากฏการณ์ ‘ซื้อตัวมาร์เก็ตติ้ง’ ที่เขย่าวงการ**

แม้จะมีประวัติศาสตร์แข็งแกร่งและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการเงินระดับภูมิภาค แต่ธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทยนั้นขึ้นชื่อเรื่องการแข่งขันที่สูงและดุเดือดอยู่เสมอ MBKET ในฐานะผู้นำด้านบริการซื้อขายหลักทรัพย์และอนุพันธ์ครบวงจร ให้บริการลูกค้าตั้งแต่รายย่อย รายใหญ่ ไปจนถึงลูกค้าระดับสถาบัน ย่อมต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน

หนึ่งในประเด็นที่ถูกกล่าวขานและเป็นที่จับตาในวงการมาอย่างยาวนาน คือ การแย่งชิงบุคลากร โดยเฉพาะ “มาร์เก็ตติ้ง” หรือเจ้าหน้าที่การตลาด ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลและให้คำปรึกษาลูกค้า มาร์เก็ตติ้งที่ดีไม่เพียงแต่ทำหน้าที่รับคำสั่งซื้อขาย แต่ยังเป็นผู้ให้ข้อมูลข่าวสาร บทวิเคราะห์ และเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน การที่บริษัทหลักทรัพย์จะเติบโตหรือรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ ส่วนหนึ่งจึงขึ้นอยู่กับคุณภาพและความสัมพันธ์ระหว่างมาร์เก็ตติ้งกับลูกค้า

ในช่วงที่ผ่านมา มีข่าวคราวที่สร้างความฮือฮาในวงการ เมื่อมีรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ได้มีการดึงตัวเจ้าหน้าที่การตลาดจำนวนมากเกือบ 200 คนจาก MBKET เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่การย้ายงานของพนักงานธรรมดา แต่ยังพ่วงมากับการโยกย้ายบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งคาดว่ามีมากกว่า 300 ราย ตามเจ้าหน้าที่การตลาดที่ดูแลบัญชีอยู่ไปด้วย

เหตุการณ์นี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความเข้มข้นในการแข่งขันแย่งชิงบุคลากรและฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ไทย เพื่อตอบโต้การกระทำดังกล่าว MBKET ได้ตัดสินใจยื่นฟ้องอดีตผู้บริหารและพนักงานที่เกี่ยวข้องต่อศาลแพ่ง โดยเรียกค่าเสียหายสูงถึง 578 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการฟ้องร้องที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง

ปรากฏการณ์การ “ซื้อตัวมาร์เก็ตติ้ง” นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการหลักทรัพย์ไทย มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเป็นเวลาร่วมสิบกว่าปี สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างหรือความท้าทายในการกำกับดูแล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังคงต้องหาแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและเสถียรภาพในอุตสาหกรรมในระยะยาว

**การเข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย**

สำหรับนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนผ่าน MBKET การเปิดบัญชีและเข้าถึงบริการต่างๆ ถือว่ามีความสะดวกสบายและครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย บริษัทนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านการลงทุนที่ครบวงจร ตั้งแต่บริการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไทยและตลาดต่างประเทศ ไปจนถึงบริการด้านวาณิชธนกิจ ให้คำปรึกษาทางการเงิน การเป็นที่ปรึกษาในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน และการเป็นผู้รับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์

ในยุคดิจิทัล การเปิดบัญชีลงทุนกับ MBKET ทำได้ง่ายดายผ่านแอปพลิเคชัน Maybank Invest เมื่อเปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว นักลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านแอปพลิเคชัน Streaming ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมในหมู่นักลงทุนไทย ได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย

บริษัทยังมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น DRx (Depositary Receipt) ที่เปิดโอกาสให้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศขนาดใหญ่ได้ง่ายๆ เหมือนซื้อขายหุ้นไทย อนุพันธ์ต่างๆ ทั้ง Warrant (หุ้นสามัญ/บุริมสิทธิ), Derivative Warrant (DW) รวมถึงบริการลงทุนในต่างประเทศโดยตรง และบริการ Block Trade ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนที่ต้องการใช้ leverage

ตัวอย่างเช่น การซื้อขาย DRx ผ่านแอป Streaming ก็มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก คล้ายกับการซื้อขายหุ้นทั่วไป เพียงแจ้งความประสงค์ผ่านเมนูในแอป Streaming เตรียมบัญชีหุ้นให้พร้อม (ในกรณีที่ยังไม่มีบัญชีกับโบรกเกอร์นั้นๆ อาจจะต้องเปิดบัญชีใหม่) จากนั้นก็ทำการฝากเงินเข้าบัญชีสำหรับซื้อขาย DRx ซึ่งสามารถทำได้ง่ายและทันทีผ่าน QR Payment ในแอป Streaming หลังจากมีเงินในบัญชีแล้ว ก็สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้โดยเลือกระบบคำสั่งที่ต้องการ (Market Order หรือ Limit Order) และยืนยันด้วย PIN เหมือนการซื้อขายหุ้นปกติ แสดงให้เห็นถึงความสะดวกในการเข้าถึงเครื่องมือการลงทุนใหม่ๆ ผ่านแพลตฟอร์มที่มีอยู่เดิม

**การติดตามข่าวสารและข้อกำหนดสำคัญในการลงทุน**

ส่วนสำคัญของการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบคือการติดตามข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงในข้อกำหนดต่างๆ ที่โบรกเกอร์แจ้งให้ทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ใช้บริการที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่น บัญชี Margin

บัญชี Margin คือบัญชีที่นักลงทุนสามารถนำหลักทรัพย์ที่ถืออยู่มาวางเป็นหลักประกันเพื่อกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์มาใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มเติม หรือใช้ในการ Short Sell การใช้ Margin ช่วยเพิ่มศักยภาพในการลงทุน (leverage) แต่อีกด้านหนึ่งก็เพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โบรกเกอร์อย่าง MBKET จะมีประกาศแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับบัญชี Margin เป็นระยะ เช่น อัตรา Initial Margin (อัตราหลักประกันขั้นต้นที่ต้องมีเมื่อเปิดสถานะซื้อหรือขาย) และ Haircut (อัตราการหักมูลค่าหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันเพื่อประเมินความเสี่ยง) ซึ่งกำหนดวันที่มีผลบังคับใช้ชัดเจน การทราบข้อกำหนดเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

นอกจากข้อกำหนดด้าน Margin แล้ว การติดตามประกาศจากโบรกเกอร์ยังรวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงช่องทางการติดต่อ หรือการอัปเดตระบบ อย่างกรณีล่าสุดที่ MBKET ได้แจ้งประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าทราบว่า จะปิดเว็บไซต์เก่าที่ www.maybank-ke.co.th ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2568 และแนะนำให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้งานเว็บไซต์ใหม่ที่ https://www.maybank.co.th/securities/th แทน ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานแต่สำคัญสำหรับผู้ใช้งาน

**ความน่าเชื่อถือและการให้คำแนะนำการลงทุน**

ในด้านความน่าเชื่อถือ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ AA(tha) และ AA+(tha) จาก Fitch Ratings ซึ่งสะท้อนถึงรากฐานความแข็งแกร่งและความมั่นคงทางการเงินในระดับที่ดีเยี่ยม ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่เลือกใช้บริการ

การเดินทางอันยาวนานของ MBKET จากเงินทุนขนาดเล็ก ผ่านวิกฤต การเปลี่ยนผ่านผู้ถือหุ้น สู่การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการเงินระดับภูมิภาค และการเผชิญหน้ากับการแข่งขันในตลาดทุนไทย เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและสะท้อนพลวัตของอุตสาหกรรมนี้ได้เป็นอย่างดี สำหรับนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ เรื่องราวของ MBKET สอนให้เราเห็นว่า การเลือกโบรกเกอร์ ไม่ได้มีเพียงแค่ค่าธรรมเนียมที่ถูกที่สุด แต่ยังต้องพิจารณาถึงความมั่นคง ประสบการณ์ บริการที่หลากหลาย และที่สำคัญคือ การเข้าถึงข้อมูลและการสื่อสารที่ชัดเจน

หากการลงทุนเป็นเรื่องที่คุณสนใจและอยากเริ่มต้น การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณจะใช้บริการเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ พิจารณาว่าตรงกับความต้องการและความสนใจของคุณหรือไม่ อย่าลืมตรวจสอบข้อกำหนดและเงื่อนไขการลงทุนต่างๆ อย่างละเอียด โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความเสี่ยง เช่น บัญชี Margin และอัตราต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

เหนือสิ่งอื่นใด การลงทุนใดๆ ล้วนมีความเสี่ยง ตลาดทุนมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือนักลงทุนต้องศึกษาเรียนรู้ ทำความเข้าใจความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และติดตามข่าวสารข้อมูลอยู่เสมอ การมีโบรกเกอร์ที่เป็นมืออาชีพและมีข้อมูลสนับสนุนที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้เส้นทางการลงทุนของคุณมั่นคงและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น

ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์สำหรับเริ่มต้นหรือยกระดับการลงทุน MBKET ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าพิจารณา จากประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน บริการที่หลากหลาย และการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการเงินระดับภูมิภาค การทำความเข้าใจในเรื่องราวและบริการของโบรกเกอร์นี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการตัดสินใจก้าวเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนอย่างมั่นใจ

ขอให้มีความสุขและประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ!